พิจารณาภาระในเชิงพฤตินัย การกู้ต่างประเทศเพื่อบริโภคทำให้การบริโภครวมปัจจุบันเพิ่ม แต่อนาคตลด จึงเป็นภาระคนในรุ่นต่อไป แต่ถ้ากู้เพื่อลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ อาจไม่เป็นภาระเพิ่ม อธิบายได้ว่าตอนที่กู้มาคนที่ได้ประโยชน์ ได้บริโภคสินค้า บริการเพิ่มแบบกะทันหันก็คือคนในยุคนั้น เพราะเป็นเงินนอกที่ไหลเข้ามาในประเทศทำให้ปริมาณเงินในประเทศมีมากขึ้น เมื่อมีเงินจากต่างประเทศเข้ามาก็จะทำให้การบริโภคเฟื่องฟู มีเงินสำหรับจ้างคนสร้างสิ่งสาธารณูปโภคต่างๆ ทำให้คนมีรายได้และนำไปใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อถึงยุคที่จะต้องชำระหนี้ก็ต้องดูดทรัพยากรในประเทศออกไป เพราะฉะนั้นคนที่รับภาระที่คนยุคก่อนสร้างไว้ ก็คือ คนในยุคหลังที่ต้องจ่ายภาษีเพื่อให้รัฐบาลนำเงินไปชำระหนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการกู้เพื่อนำมาใช้ลงทุนในระยะยาว ใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่กู้มาเพื่อการบริโภคในระยะสั้น เช่น กู้มาเพื่อปรับปรุงระบบการศึกษา พัฒนาระบบสาธารณูปโภค สร้างถนน รถไฟ ทางด่วน อันจะทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตคุ้มค่า เช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องกังวลมากเพราะคนก็จะค่อยๆ รวยขึ้นในภายภาคหน้า เมื่อคนรวยขึ้นแล้วก็สามารถนำเงินไปใช้หนี้ได้
ภาระหนี้สาธารณะจะตกอยู่กับใครก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมุมมองในลักษณะใด ขึ้นอยู่กับว่ากู้ยืมในประเทศหรือนอกประเทศ และขึ้นอยู่กับว่านำเงินนั้นมาใช้ในเรื่องอะไร นำมาใช้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์หรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายๆ อย่าง อีกทั้งการกู้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป เนื่องจากบางครั้งแม้รัฐบาลจะมีเงินอยู่มากก็ยังสามารถใช้วิธีกู้ยืมเงินได้ เพราะรัฐบาลเป็นองค์กรที่มุ่งให้ประชาชนอยู่ดีกินดี อะไรที่รัฐคิดว่าดีสำหรับประชาชน รัฐก็จะทำ และบางครั้งแม้รัฐจะมีเงินมาก แต่หากขาดสภาพคล่อง รัฐก็จะกู้เงินมาเพื่อเสริมสภาพคล่อง1
โดยเหตุที่การเก็บภาษีและการกู้หนี้ต่างทำให้รัฐมีรายรับ ข้อต่างกันคือ ในการเก็บภาษี เมื่อเก็บมาแล้วก็สามารถนำไปใช้ในประโยชน์และไม่มีข้อผูกพันที่ต้องชดใช้คืน แต่การกู้หนี้นั้น ในท้ายที่สุด ต้องมีการเก็บภาษีไปใช้คืนหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอยู่ดี อาจมีข้อดีตรงที่รัฐอาจกู้หนี้ระยะยาวได้และสามารถก่อหนี้ใหม่เพื่อไปใช้หนี้เก่าได้ไม่จบสิ้น จึงมีปัญหาว่าถ้ารัฐต้องการหาเงินมาใช้ รัฐควรจะหาเงินโดย “การเก็บภาษี” หรือ “การกู้ยืมเงิน” อย่างไรดีกว่ากัน Harvey S. Rosen ได้วางหลักในการพิจารณาไว้ 5 ประการ2ดังนี้
(1) หลักใครได้ประโยชน์ต้องจ่ายตอบแทน หลักนี้เสนอว่า ถ้าคนยุคนี้ได้ประโยชน์จากเงินที่นำมาใช้ ก็ควรใช้วิธีเก็บภาษี ไม่ควรใช้วิธีกู้เงินแล้วไปผลักภาระให้คนยุคหลังจ่ายเงินคืน แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ระยะยาว เช่น สร้างเขื่อน (ที่มีอายุการใช้งานหลายสิบหลายร้อยปี) กรณีนี้เป็นกรณีที่มีประชาชนได้รับประโยชน์เป็นจำนวนมาก ซึ่งหากใช้วิธีเก็บภาษีกับคนในยุคที่สร้างเขื่อนก็ดูจะไม่เป็นธรรมเพราะต้องเก็บภาษีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นถ้าเป็นกรณีที่ลงทุนแล้วมีผู้ได้ประโยชน์มาก และเป็นเรื่องระยะยาว กรณีเช่นนี้ก็สามารถใช้วิธีกู้เงินแล้วค่อยๆ ทยอยชำระหนี้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องพิจารณาเป็นรายโครงการไปว่าจะนำเงินมาใช้เพื่ออะไร เป็นประโยชน์ในระยะสั้นหรือระยะยาว ใครเป็นผู้ได้ประโยชน์
1 เหมือนกับบริษัทเอกชนที่แม้จะมีเงินอยู่เยอะ แต่ก็ยังไปกู้เพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องโดยเสียดอกเบี้ยในอัตราต่ำ เนื่องจากบริษัทเอกชนส่วนใหญ่จะนำเงินที่มีอยู่ไปลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงและยังไม่ได้รับผลตอบแทน ยังไม่สามารถนำเงินมาใช้ได้ทันที ดีกว่าที่จะต้องไปยกเลิกการลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนสูงในอนาคต
2 Harvey S. Rosen, op.cit. , pp. 466-470.
(2) หลักถ่ายเทความมั่งมีและความจนระหว่างคนต่างยุค หลักนี้เสนอว่ารัฐอาจจะมองไปข้างหน้า ถ้ามองไปแล้วคิดว่าคนในอนาคตจะรวยก็สามารถใช้วิธีกู้เงิน เพื่อที่ว่าจะได้ถ่ายเทความยากจน ความเดือดร้อนในยุคนี้โดยเอาความมั่งมีในยุคถัดไปมาช่วยถ่ายเทชำระหนี้3 ในทางตรงกันข้ามถ้าคิดว่าคนในยุคนี้รวยแต่ยุคต่อไปจะจน ก็ควรใช้วิธีเก็บภาษี เป็นการนำเรื่องในภายภาคหน้ามาเป็นเหตุผลประกอบ (เช่น เก็บภาษีนำเงินมาสร้างเขื่อน สิ่งสาธารณูปโภค) ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีหลักฐานและการพิสูจน์ด้วย เช่น หากจะลงทุนด้านการศึกษาซึ่งต้องใช้เงินของคนยุคนี้เป็นจำนวนมากเพื่อจ้างครู สร้างสถาบัน ฯลฯ แต่คนที่ได้ประโยชน์ก็คือคนในยุคถัดไปซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้อาจใช้วิธีกู้ยืมเงินเพื่อสร้างการศึกษาที่ดี เมื่อคนมีการศึกษาดีขึ้นก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นหากจะเก็บภาษีไปใช้หนี้ที่กู้มาในยุคก่อนหน้าก็คงจะไม่เดือดร้อน
(3) หลักประสิทธิภาพของความประหยัด หลักนี้เสนอว่า ควรใช้วิธีที่ทำให้ประหยัดได้มากกว่า เพราะการเก็บภาษีก็มีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บด้วย ทั้งยังต้องป้องกันการทุจริตต่างๆ ส่วนการกู้ยืมมักไม่ค่อยมีการตกหล่นของเม็ดเงินเพราะเป็นการกู้มาใช้ตรงๆ และมีค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมน้อย แต่จะมีค่าใช้จ่ายสูงในเรื่องดอกเบี้ย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาให้ดีว่าในภาวการณ์ตอนนั้น วิธีการหาเงินวิธีใดก่อให้เกิดความประหยัดมากกว่ากัน
3 เนื่องจากเป็นคนในประเทศเดียวกันและมีสายเลือดใกล้ชิดกัน
(4) หลักเสถียรภาพของเศรษฐกิจ หลักนี้เสนอว่าให้มองความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นหลัก คือในช่วงที่เศรษฐกิจฝืดเคือง คนไม่มีเงินใช้ คนไม่อยากลงทุน การค้าขายซบเซา สภาวการณ์เช่นนี้คงกู้เงินได้ยากและคงจะเก็บภาษีได้น้อย เพราะฉะนั้นหากรัฐต้องการกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก็ไม่ควรจะเก็บภาษี และหากมีความจำเป็นต้องใช้เงินก็ควรจะใช้วิธีกู้เงิน เพราะการกู้เงินจะทำให้เม็ดเงินใหม่ๆ ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น การค้าขายเริ่มกระเตื้อง โรงงานขายสินค้าได้มากขึ้น เริ่มมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น อันจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ในทางตรงกันข้าม หากเศรษฐกิจร้อนแรงจนเกินไปก็ไม่ควรจะกู้เงินเพราะการกู้เงินจะยิ่งทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ยิ่งทำให้เศรษฐกิจร้อนแรง เพราะจะทำให้คนมีเงินเยอะขึ้น แย่งกันกินแย่งกันใช้ ทำให้โรงงานต้องเร่งผลิตสินค้าจนสินค้ามีคุณภาพต่ำลงและผลิตมากจนควบคุมดูแลได้ไม่ทั่วถึง กรณีนี้จึงควรใช้วิธีการเก็บภาษีเพื่อดูดเงินเข้ารัฐ แต่เมื่อดูดมาแล้วก็ต้องใช้จ่ายน้อยด้วยเพื่อให้ปริมาณเงินในระบบลดน้อยลง อย่าให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป เพราะไม่ใช่เรื่องดี เศรษฐกิจที่ดีควรต้องค่อยเป็นค่อยไป
(5) หลักศีลธรรมและการเมือง หลักนี้เสนอว่า ในทางศีลธรรมหรือศาสนานั้น บางศาสนาก็ไม่นิยมให้มีการกู้ยืม เช่น ศาสนาอิสลามที่ถือว่าการกู้ยืม การคิดดอกเบี้ย เป็นบาป ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้นธนาคารอิสลามจึงไม่มีการคิดดอกเบี้ย (ทั้งดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้) แต่จะเปลี่ยนชื่อและเนื้อหาให้อยู่ในรูปของผลประโยชน์ หรือส่วนแบ่งที่ต่างจากระบบธนาคารทั่วไปแทน ส่วนในทางการเมือง ก็มองว่านักการเมืองมีแนวโน้มต้องการเสียงของประชาชน เพราะฉะนั้นหากต้องการใช้เงิน นักการเมืองมักไม่ใช้วิธีเก็บภาษีเพิ่มเพราะการเก็บภาษีจะทำให้ฐานเสียงลดน้อยลง ดังนั้นนักการเมืองจึงมักจะมีแนวโน้มใช้วิธีกู้เงินมาใช้จ่ายมากกว่า ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้เกิดสภาพหนี้ท่วมประเทศ ประชาชนจึงควรช่วยกันดูแล อย่าไปคิดแต่เพียงว่าการกู้ดีกว่าการเก็บภาษี และนักการเมืองต้องมีวินัย และจรรยาบรรณเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง มิใช่ห่วงแต่คะแนนเสียงเลือกตั้ง
โดยสรุป เห็นกันว่า การใช้เครื่องมือทางการคลังของรัฐบาล ย่อมมีผลกับนโยบายของรัฐบาลในด้านต่างๆ แม้ว่าอาจจะวัดผลได้ไม่ชัดเจนนัก เพราะมีปัจจัยองค์ประกอบอื่นอีกหลายประการ
ศาสตราจารย์ ดร.สุเมธ ศิริคุณโชติ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี