หลังผ่านพิธีในรัฐสภาไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่คณะรัฐมนตรี จะเริ่มออกสตาร์ททำงาน ที่แม้จะอยู่ใต้การสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ แต่คราวนี้ก็มีสิ่งที่แตกต่างไป อย่างที่หนึ่งคือการแบ่งงานรองนายกฯ ที่ออกจะดูแปลกประหลาด เพราะอาจถือได้ว่ามีรองนายกฯ ถึง 3 คนที่มีภารกิจด้านเดียวกัน คือ นายสมคิด นายจุรินทร์ และนายอนุทิน ซึ่งทั้ง 3 คนนี้ต่างก็ถือเป็นรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจด้วยกันทั้งหมด เพียงแต่แยกกันดูแลเศรษฐกิจ 3 กลุ่มที่พรรคนั้นๆ ดูแล ซึ่งผลงานที่ออกมาอาจจะมีลักษณะแยกขาดจากกันด้วยหรือไม่? ทั้งที่บางส่วนควรไปด้วยกัน ต้องรอดู อย่างที่สอง ครม. ด้านเศรษฐกิจก็ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างชุดเก่าและชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีฝ่ายละครึ่งในการทำงาน และสุดท้ายอย่างที่สามเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายจับตามองกันมากในขนาดนี้คือการที่ พล.อ.ประยุทธ์ มาคุมกระทรวงกลาโหมเอง และไม่เพียงไม่แค่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะดำเนินการคุมกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกด้วย จากเดิมที่เข้าใจว่าจะเป็นหน้าที่ของพล.อ.ประวิตร หรืออย่างน้อยก็เป็นฝ่ายตำรวจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว กลายเป็นพล.อ.ประยุทธ์คุมเองทั้งหมด ซึ่งจะทำให้พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจในการคุมโผทั้งตำรวจและทหารใช่หรือไม่? และนี่คือภาพที่เปลี่ยนไป ภาพแรกหลังจากนี้?
สำหรับการแบ่งงานรองนายกฯ ที่ว่ามีความแตกต่างไปจากครั้งก่อนนั้น คือมีการแบ่งกระทรวงด้านเศรษฐกิจให้รองนายกฯ จากพรรคร่วมฯ ช่วยกำกับดูแลด้วย อย่างนายจุรินทร์กำกับกระทรวงในโควตาของพรรคอย่างกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรฯ ส่วนนายอนุทินดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และกระทรวงคมนาคมนั้น กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานพรรคพลังประชารัฐดูแลเอง ซึ่งภาพที่ออกมาเท่ากับว่าต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างทำ ทั้ง ๆ ที่เกษตร อุตสาหกรรม คลังและพาณิชย์จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำงานด้วยกัน
ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดความสัมพันธ์ของนโยบายข้ามกระทรวงหรือร่วมโครงการระหว่างกระทรวง จึงน่าจะเป็นไปได้ยากมาก แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นเกราะป้องกันในระดับหนึ่ง ที่จะช่วยลดความขัดแย้ง เพราะฉะนั้นแล้วภาพที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก็คือ 1.การแย่งงบประมาณกันของแต่ละพรรคร่วม 2.การแย่งผลงานกันของพรรคในรัฐบาล ซึ่งก็อาจเป็นเรื่องที่ดี เพราะในส่วนนี้คนที่ได้ประโยชน์ก็คือประชาชน
ส่วนรัฐมนตรีที่เคยอยู่บนหิ้งใครแตะไม่ได้เอื้อมไม่ถึง ต่อไปนี้คงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อย่างน้อยก็นายอุตตม ที่ชีวิตคงจะไม่เรียบง่ายอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนอภิปราย แถลงนโยบายก็โดนโจมตีเรื่องกรณีการปล่อยกู้สินเชื่อกรุงไทยตลอด ที่หลายฝ่ายมองว่าหากนายอุตตมจะใช้เวทีในสภาฯ เป็นโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้กระจ่างต่อสาธารณะ ก็อาจจะยืนบนเวทีการเมืองต่อได้แบบสบายๆ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นหรือไม่? ซึ่งเรื่องนี้คาดว่าจะเป็นเรื่องทิ่มแทงนายอุตตม ตลอดต่อไปจากนี้? ตราบใดที่ยังมีฝ่ายค้านในสภาผู้แทนฯอยู่ ยังไม่นับรวมรัฐมนตรีคนอื่นๆ อย่างนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษาฯที่มีข่าวโดนเรื่องคุณสมบัติ หรือรัฐมนตรีคนอื่นๆ อีก
ในขณะเดียวกัน ภายหลังพล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงนโยบายต่อประธานสภาฯ ก็เกิดข้อถกเถียงขึ้นมากมาย หากไม่นับประเด็นเรื่องกิริยาท่าทาง น้ำเสียง ของพล.อ.ประยุทธ์ที่ใช้พูดนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ดูจะเป็นปัญหาให้ฝ่ายค้านโจมตีก็คือ นโยบายที่ส่วนรัฐบาลเสนอนั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะการมองจากกรอบรัฐธรรมนูญใหม่ที่ผูกมัดเรื่องการใช้งบประมาณ ซึ่งจะเป็นการตีความที่ต่างไปจากเดิม? แต่สิ่งที่ควรจะตั้งคำถามมากกว่าคือ มิติทางการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ว่า มีแนวทางการใช้นโยบายและงบประมาณไปในทิศทางใด หัวใจคือ มีความแตกต่างจาก 5 ปีที่แล้วอย่างไรใช่หรือไม่? เพื่อที่จะให้ประชาชนได้รับรู้ว่ารัฐบาลยอมรับบทเรียนปัญหา และพร้อมจะแก้ไขปรับเปลี่ยนไปทางใดโดยเฉพาะตอนนี้มีพรรคการเมืองมาช่วยร่วมคิด ขณะที่ฝ่ายค้านและสื่ออาจต้องมองข้ามเรื่องกิริยาท่าทาง การใช้ภาษาว่าถูกผิดหรือไม่? เพราะจะทำให้การตรวจสอบพลาดประเด็นสำคัญที่ควรตรวจสอบหรือระมัดระวัง
ส่วนนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจและถือเป็นปัญหารุมเร้ารัฐบาลอยู่ในขณะนี้ อย่างนโยบายลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดาร้อยละ 10 ของพรรคพลังประชารัฐ ที่หลายฝ่ายเองก็โจมตีว่าในทางปฏิบัติทำได้ยาก เพราะทำให้ขาดงบประมาณที่จะเข้าไปอุดหนุนงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งก็น่าสนใจว่าหากมีการปรับภาษีขึ้นจริง งบประมาณส่วนที่ขาดหายไปจะทำอย่างไร? กรณีนี้นายกรณ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ร่วมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดูจะเป็นไปได้ อย่างการเก็บภาษีจากทุนผูกขาดแทน ซึ่งก็น่าติดตามดูต่อไปว่าจะถูกนำไปใช้ได้จริงหรือไม่?
หลังจากนี้ทางด้านสภาฯ เองก็น่าจะมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น เพราะอย่างที่เราเห็นกันว่า สส. จำนวนไม่น้อย แม้จะเป็น สส. ใหม่ โดยเฉพาะ สส. ฝ่ายค้าน อย่างพรรคอนาคตใหม่ ที่ทีแรกหลายคนจะมองว่าอ่อนด้อยประสบการณ์ แต่ก็มีจุดแข็งอย่างหนึ่งคือความสดใหม่ และด้วยความสดใหม่นี้เองก็อาจทำให้เกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นได้ อย่างที่ได้เห็นมาแล้วในการอภิปรายนโยบายรัฐบาลที่สภาฯ ที่ สส. หน้าใหม่หลายคนมีบทบาทกล้าพูดกล้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่เกรงกลัวใคร ซึ่งต่อจากนี้เกมการเมืองในสภาฯ หลายฝ่ายก็คาดว่ารัฐบาลจะถูกโจมตีและมีผู้ลุกขึ้นมาค้านและกล้าวิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ และอาจทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาล หรือนายกฯ เปลี่ยนไปได้
ด้วยเหตุนี้เองจึงอาจเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องเตรียมจัดทีมโฆษกรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งก็เป็นนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ มาดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งการแต่งตั้งนี้ ก็นับว่าเป็นการตั้งมืออาชีพด้านการสื่อสารเป็นครั้งแรกในรัฐบาลประยุทธ์ใช่หรือไม่? เพราะที่ผ่านมาบ่อยครั้งที่พล.อ.ประยุทธ์จะออกมาเป็นผู้สื่อสารเอง ซึ่งตัวนางนฤมลเองแม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงศาสตราจารย์ แต่ก็นับว่าไม่ใช่เหตุผลหลักในได้เป็นโฆษกรัฐบาล แต่ด้วยความสามารถในสภาฯ อย่างที่เห็นมาก่อนหน้านี้แล้วว่าสามารถอธิบายเรื่องยากๆ
ให้คนจากหลายระดับฟังแล้วเข้าใจ พอใจได้ ก็คงเป็นเหตุผลที่ตรงกับที่พล.อ.ประยุทธ์ ที่เคยระบุสเปกไว้ว่า “ต้องเป็นคนรอบรู้ เข้าใจระบบการเปลี่ยนแปลงของประเทศและสังคมโลกยุคโซเชียล ยุคดิจิทัลและมีความรู้เรื่องระบบราชการด้วย” งานนี้จึงนับน่าจะได้เห็นภาพใหม่ๆ ในครม.ประยุทธ์ภาค 2 ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเมืองใหม่
“…หากคนใดจะต้องเหยียบย่ำบนซากศพผู้ตาย จึงสามารถปีนป่ายสู่ที่สูงได้ อย่างนั้น
แม้นับว่าปีนจนถึงที่สูงสุดยอด ก็มิใช่เป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มยินดี…”
โกวเล้ง จากเรื่องมังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี