ปีนี้ประเทศไทยเข้าหน้าฝนแล้ว แต่ปรากฏว่าหลายพื้นที่ในประเทศนี้ ยังคงมีข่าวความแห้งแล้งให้เห็นตลอดเวลา มีข่าวว่าต้นกล้าข้าวที่ชาวนาหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวไปแล้ว แห้งตายไปเป็นจำนวนหลายพันไร่ เพราะขาดน้ำ นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าหลายพื้นที่ในเขตภาคเหนือตอนล่าง และเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา รวมถึงมีข่าวว่าผู้เลี้ยงปลาในกระชังที่เลี้ยงปลาตามลำน้ำต่างๆ ขาดทุนหนัก เนื่องจากปลาตายเพราะขาดน้ำ
เมื่อมีข่าวความแห้งแล้งจนหลายพื้นที่ต้องเผชิญกับสภาวะวิกฤติ จึงทำให้หน่วยงานราชการหลายหน่วยต้องเข้าไปเร่งแก้ปัญหานี้ ตัวอย่างเช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจ (war room) เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง ในขณะที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกกองทัพให้ความช่วยเหลือกับประชาชนที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และส่งการให้ทุกหน่วยบินของเหล่าทัพให้การสนับสนุนการขึ้นบินเพื่อทำฝนหลวง เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการในเขตจังหวัดที่ประสบภัยแล้งได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นการด่วน
สามารถกล่าวได้ว่าประเทศไทยต้องประสบกับวิกฤติภัยแล้งมาโดยตลอดเกือบทุกปี และปัญหานี้ดูจะกลายเป็นปัญหาปกติสามัญของประเทศไทยไปแล้ว
เมื่อพิจารณาปริมาณน้ำที่กักเก็บในเขื่อนต่างๆ โดยอ้างอิงข้อมูลจากกรมชลประทาน ณ วันที่ 21 มีนาคม 2562 พบว่าปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ 5 แห่ง มีจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 30 ส่วนเขื่อนอื่นๆ อีกจำนวน 21 แห่งมีปริมาณน้ำร้อยละ 30-60 และพบว่ามีเขื่อน 8 แห่งมีปริมาณน้ำกักเก็บร้อยละ 60-80 และมีอยู่หนึ่งแห่งที่มีปริมาณน้ำกักเก็บมากกว่าร้อยละ 80
เมื่อพิจารณาตามข้อมูลที่ระบุข้างต้น ทำให้พบว่าในพื้นที่ซึ่งประสบปัญหาความแห้งแล้งนั้น แม้จะมีเขื่อน แต่ก็พบปัญหาคือไม่มีน้ำในเขื่อนในปริมาณที่มากพอ ส่วนในพื้นที่อื่นๆ ที่ไม่ประสบปัญหาภัยแล้งนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีเขื่อนกักเก็บน้ำไว้ในปริมาณที่มากกว่า
ร้อยละ 50 ดังนั้น จึงถือได้ว่านี่คือความสำคัญของการมีเขื่อน แต่ที่สำคัญกว่าก็คือเมื่อมีเขื่อนแล้วก็ต้องมีน้ำอยู่ในเขื่อนเป็นปริมาณที่มากพอสำหรับการใช้อุปโภคบริโภคของประชาชนในเขตนั้นๆ ด้วย
เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว ก็ทำให้คิดไปถึงกลุ่มผู้ต่อต้านการสร้างเขื่อน ที่เมื่อจะมีการก่อสร้างเขื่อนคราใด ก็จะมีกลุ่มต่อต้านทุกคราไป โดยอ้างว่าการสร้างเขื่อนเป็นการทำลายป่าไม้ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทำลายชีวิตสัตว์ป่า และทำให้ชุมชนที่อยู่ในบริเวณที่ต้องใช้เป็นอ่างเก็บน้ำต้องถูกอพยพเคลื่อนย้ายออกไป ซึ่งก็ไม่มีใครปฏิเสธว่าเมื่อก่อสร้างเขื่อนแล้ว จะเกิดผลกระทบบางประการต่อสัตว์ป่า ต่อพันธุ์พืช และต่อผู้คน แต่ก็ต้องพิจารณาให้ลึกลงไปด้วยว่า เมื่อมีเขื่อนแล้วให้ผลดีหรือผลเสียต่อสาธารณะมากกว่ากัน แล้วถ้าไม่มีเขื่อน สาธารณะจะได้รับผลเสียมากกว่าผลดีหรือไม่
บางคนอ้างว่า ก็ในเมื่อมีเขื่อนอยู่แล้ว ยังไม่มีน้ำในเขื่อน แล้วจะต้องสร้างเขื่อนเพิ่มเพื่ออะไร ก็ต้องตอบว่า แล้วผู้ตั้งคำถามหรือผู้คัดค้านการสร้างเขื่อนตอบได้หรือไม่ว่า ทำไมจึงไม่มีน้ำในเขื่อน แล้วทำไมในช่วงแรกๆ ของการมีเขื่อนจึงมีน้ำอยู่ในเขื่อน เรื่องแบบนี้ต้องเปิดใจให้กว้าง พิจารณาผลดี ผลเสีย ให้รอบคอบ ไม่ใช่เอะอะก็บอกว่าสร้างเขื่อนคือการทำลายป่าไม้ ทำลายสัตว์ป่า และทำให้ชุมชนต้องถูกอพยพ เพราะปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขและหาทางออกที่เหมาะสมได้
นอกจากประเทศไทยจะประสบปัญหาน้ำแล้งซ้ำซากแล้ว ยังต้องประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอีกด้วย เพราะทุกปีเมื่อถึงช่วงหน้าฝนที่มีฝนตกหนัก ก็จะปรากฏข่าวน้ำท่วมในพื้นที่เดิมๆ เป็นข่าวซ้ำซากตลอดมา เช่น ที่บางระกำ จังหวัดพิจิตร หรือบริเวณลุ่มน้ำยม ในจังหวัดสุโขทัย และลุ่มน้ำปิงตอนล่าง (เขตจังหวัดกำแพงเพชร-นครสวรรค์) แม้กระทั่งในเขตราบลุ่มภาคกลาง อย่างเช่น อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอีกหลายพื้นที่ในจังหวัดอ่างทอง ซึ่งปรากฏข่าวน้ำท่วมแทบทุกปี
สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้งในประเทศไทยมาโดยตลอดจะพบว่า หลายพื้นที่ที่ระบุในข้างต้นมีปัญหาน้ำท่วมสลับกับน้ำแล้งเป็นประจำ พอถึงหน้าฝน ก็ประสบภัยน้ำท่วม แต่หลังจากฤดูฝนผ่านพ้นไปไม่นาน ก็เกิดปัญหาน้ำแล้ง ซึ่งปัญหาเช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติสามัญในสังคมไทย ถ้าหากคนไทย และผู้บริหารประเทศของไทยร่วมกันคิดหาทางแก้ไขปัญหาอย่างจริงๆ จังๆ ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดปัญหาแล้วก็มาตามแก้ปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดูแล้วน่าสังเวชเป็นที่สุด
หลายคนคงตอบได้ว่ามูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาฝนแล้งในบ้านของเราคือ การกระทำของมนุษย์ โดยเฉพาะการตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำ รวมถึงยังมีเหตุปัจจัยอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศและอุณหภูมิของโลก (ปัญหาโลกร้อน และปัญหาสภาวะเรือนกระจก)
แน่นอนว่าต่อให้เราเร่งกลับไปปลูกป่าต้นน้ำในตอนนี้ ก็คงไม่สามารถแก้ปัญหาภัยแล้งได้โดยทันที เพราะว่ากว่าป่าไม้จะเติบโตสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลานานหลายสิบปี แต่ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ต้องร่วมกันปลูกป่าและรักษาป่าต้นน้ำ โดยเฉพาะป่าต้นน้ำที่อยู่เหนือพื้นที่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่อยากจะพูดถึงเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดกับผู้ตัดไม้ทำลายป่า เพราะพูดมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยพบว่าจะสัมฤทธิผลอย่างจริงจัง เนื่องจากสาธารณชนทราบดีว่าผู้ที่ทำความผิดฐานตัดไม้ทำลายป่า หรือโค่นป่าได้ทีละหลายๆ หมื่นไร่นั้นไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอย่างพวกเรา แต่ล้วนเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลระดับชาติทั้งสิ้น แล้วกระบวนการยุติธรรมของไทย ก็เกือบจะไม่เคยนำตัวผู้มีอิทธิพลเถื่อนเหล่านั้นไปลงโทษขั้นเด็ดขาดได้เลย
แต่ผู้เขียนขออนุญาตพูดถึงกลุ่มคนคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนด้วยความเคารพในวิจารณญาณและความหวังดีของคนกลุ่มดังกล่าวที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะต่อป่าไม้ สัตว์ป่า และต่อผู้คนในเขตที่ต้องถูกใช้พื้นที่เพื่อทำอ่างเก็บน้ำ แต่ผู้เขียนก็ยังคงมีคำถามเหมือนเดิมว่า ผู้คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนตอบได้หรือไม่ว่า หากไม่มีเขื่อนกักเก็บน้ำเพิ่มขึ้นในบ้านในเมืองของเรา สาธารณชนจะประสบปัญหาเรื่องน้ำอย่างไรบ้าง
เราต้องไม่ปฏิเสธความจริงที่ว่า ปัจจุบันนี้บ้านเมืองของเรามีประชากรเพิ่มมากกว่าเมื่อ 40-50 ปีก่อน หลายเท่า และบ้านเมืองของเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำเพื่อการเกษตร และการอุตสาหกรรมมากกว่าเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาหลายเท่าเช่นกัน แต่คุณที่คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนตอบได้ไหมว่า ในช่วงระยะ 40-50 ปีที่ผ่านมา ไทยมีเขื่อนขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นกี่แห่ง แล้วการเพิ่มของเขื่อนมีความสมดุลกับจำนวนประชากร และปริมาณความต้องการใช้น้ำของประชากรทุกภาคส่วนที่เพิ่มขึ้นหรือไม่
ขอให้ผู้คัดค้านการก่อสร้างเขื่อน โดยเฉพาะพวกที่ค้านแบบไร้เหตุผล ค้านเพราะอยากดัง และค้านเพราะต้องการเป็นข่าว เพื่อจะได้เพิ่มค่าตัวเวลาที่ต้องการรายได้พิเศษ กรุณาตอบให้ชัดด้วยว่า นับตั้งแต่ 50 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวของผู้ต่อต้านการสร้างเขื่อนมีประชากรเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ เพิ่มขึ้นกี่คน แล้วคนเหล่านั้นจำเป็นต้องใช้น้ำหรือไม่ หากผู้คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนยืนยันได้ว่าสมาชิกในครอบครัวของตนที่เพิ่มมากขึ้น แต่สามารถลดปริมาณการใช้น้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ ก็ยังพอจะรับฟังได้ว่ามีกลุ่มประชากรที่ไม่ได้ใช้น้ำแบบสุรุ่ยสุร่าย แต่เท่าที่ผู้เขียนเคยพบคือ กลุ่มผู้ต่อต้านการสร้างเขื่อนหลายราย ยังล้างรถยนต์ด้วยการเปิดน้ำจากสายยางแล้วฉีดล้างรถ บางรายมีอ่างอาบน้ำในบ้านด้วย ก็ต้องขอบอกตรงๆ ว่าคนที่คัดค้านการสร้างเขื่อน แต่มีพฤติกรรมการใช้น้ำเช่นนี้ เข้าตำราดีแต่ปาก ปากว่าตาขยิบ (ขออภัยที่พาดพิงไปถึงผู้ล้างรถยนต์ด้วยการฉีดน้ำจากสายยาง และผู้ใช้อ่างอาบน้ำ ผู้เขียนมิมีเจตนาจะกล่าวหาว่าคุณล้างผลาญทรัพยากรน้ำ แต่เพียงจะเปรียบเปรยให้เห็นว่าคนที่คัดค้านการสร้างเขื่อนก็ยังคงมีพฤติกรรมใช้น้ำไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ ที่เขาไม่คัดค้านการก่อสร้างเขื่อน)
เหตุผลหนึ่งที่การแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ในบ้านเมืองของเราก็เพราะสังคมของเรามีคนจำพวกปากว่าตาขยิบ และคนชอบสร้างภาพให้ตัวเองดูดีเกินจริง พวกที่ค้านตะพึดตะพือ ค้านดะ ค้านโดยไม่มีเหตุผล ค้านเพื่อสร้างภาพ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นๆ
ส่วนมูลเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวข้ามปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซากไปได้ ก็เพราะความไร้สติ ไร้ปัญญาของผู้นำการเมือง และผู้นำในหน่วยราชการ โดยเฉพาะในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องน้ำ เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ที่ประเทศไทยไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซากได้ก็เพราะว่า สังคมไทยมีผู้นำการเมืองที่ขาดปัญญา แถมยังมีข้าราชการระดับสูงที่ไร้สติ ปัญหาจึงเรื้อรังยืดเยื้อดังปรากฏเช่นทุกวันนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี