จากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในช่วงที่ผ่านมานี้ แม้จะยังเป็นที่เคลือบแคลงว่าเป็นเหตุการณ์การก่อการร้ายหรือการสร้างสถานการณ์ก็ตาม อย่างไรเสียก็คงจะปล่อยผ่านไม่ได้ เพราะล้วนเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงจริง ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาตามมาได้ แต่หากจะมองว่าเป็นการก่อเหตุเชิงสัญลักษณ์ก็คงไม่แปลก เพราะตำแหน่งที่พบระเบิดแต่ละจุดนั้นเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญ หรือย่านคนพลุกพล่าน แม้จะไม่เกิดความรุนแรงขึ้นมากนัก แต่ก็มีคนบาดเจ็บ และถ้าหากเจ้าหน้าที่ไม่ได้เข้าไปจัดการเร็วกว่านี้ อาจจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากกว่านี้ก็เป็นได้
โดยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะเป็นการส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์อย่างที่ใครหลายคนวิเคราะห์ไว้หรือไม่? เพราะรัฐบาลชุดนี้ คนที่ดูแลด้านความมั่นคงโดยตรงก็คือตัวนายกฯ หรือพล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง หลังนั่งเก้าอี้ดูแลทั้งตำรวจและทหาร ซึ่งบางฝ่ายอาจจะมองว่าเป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดี ที่ต้องการจะดิสเครดิต พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง ว่าไม่สามารถดูแลความสงบเรียบร้อยได้ใช่หรือไม่? ทั้งที่จากผลงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมานั้น สถานการณ์ความสงบเรียบร้อยถือเป็นผลงานที่โดดเด่น ดังนั้นการกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นบททดสอบแรก หลังแถลงนโยบายเสร็จเพียงสัปดาห์เดียว ที่ท้าทายรัฐบาลชุดนี้ว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบ และจะชี้แจงสถานการณ์ เพื่อป้องกันความสับสนของประชาชนได้อย่างไร? ซึ่งระยะต่อไปหากไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ หรือตอบสังคมได้อย่างรวดเร็ว ก็จะเกิดความหวาดระแวงในหมู่ประชาชน และเป็นผลลบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลในอนาคตอย่างแน่นอน
อนึ่ง ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ประเทศไทยยังมีภารกิจด้านการต่างประเทศที่สำคัญอย่างการเป็นประธานอาเซียน ซึ่งที่ผ่านมาก็นับว่ารัฐบาลทำผลงานในด้านนี้ได้ในระดับที่ดีแล้ว อย่างไรก็ตาม ในปลายปีจะมีการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนขึ้นอีกครั้ง โดยในคราวนี้ ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีนก็จะมาเข้าร่วมด้วย
ดังนั้นแล้ว หากรัฐบาลยังคงไม่สามารถหาตัวมือวางระเบิดและคลี่คลายสถานการณ์ความไม่สงบเพื่อให้ความมั่นใจกับต่างชาติได้ ก็อาจเกิดปัญหาตามมาต่อความน่าเชื่อถือของไทยในสายตาต่างชาติ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเชื่อว่ารัฐบาลก็คงไม่ปรารถนาให้การประชุมอาเซียนครั้งนี้ซ้ำรอยกลายเป็นที่จดจำในด้านความไม่สงบแบบเดียวกับการประชุมอาเซียนที่พัทยาเมื่อ 10 ปีก่อน
ในขณะหลายฝ่ายมุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯ นั้น ฝ่ายค้านก็มาเล่นกับประเด็นการถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วนของพล.อ.ประยุทธ์ โดยอ้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งในประเด็นนี้ การจงใจมาเล่นประเด็นดังกล่าวของฝ่ายค้าน หลายคนมีความเป็นห่วง ว่ามีเจตนาใดหรือไม่? แม้กระบวนการจะผ่านพ้นไปแล้ว และคณะรัฐมนตรีเองก็ได้เริ่มทำงานแล้ว แต่ฝ่ายค้านกลับตั้งประเด็นว่าการกล่าวคำถวายสัตย์ฯ ไม่ครบย่อมมีผลสมบูรณ์ในทางรัฐธรรมนูญและกฎหมายหรือไม่? ก็ต้องรอดูกันต่อไป เพราะแม้ยังไม่มีบุคคลใดออกมาให้ความชัดเจนในกรณีดังกล่าว แต่การที่ประธานสภา อย่างนายชวน ออกมาพูดถึงกรณีดังกล่าวว่า “สิ่งที่พูดถือเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง ผู้พูดต้องรับผิดชอบ” ก็ดูสอดคล้องกับนายวิษณุ มือดีฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลที่บอกไว้ว่า “แล้ววันหนึ่งจะทราบเองว่าทำไมไม่ควรพูด” ซึ่งก็น่าคิดว่าเป็นอย่างไรต่อไป
ในขณะที่ซีกพรรคร่วมฝ่ายค้านเอง ก็เริ่มเดินหน้าแคมเปญการแก้รัฐธรรมนูญ โดยนายธนาธร จากที่ยังไม่สามารถเข้าทำหน้าที่ในสภาได้ ก็พลิกเกมเดินเกมนอกสภาควบคู่กับการวางแผนส่งทีมลงเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งประกาศส่งชิงทั่วประเทศทุกระดับและไม่ฮั้วเพื่อไทย งานนี้สำคัญและน่าสนใจสุดคือสนาม กทม.ที่นอกจากผู้ว่าฯกทม.แล้ว สก.กทม.รอบนี้ก็ดูจะน่าสนใจกว่าทุกครั้ง เพราะไม่ใช่เพียงการแข่งกันของพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทยอีกต่อไป งานนี้ข่าวการย้ายค่ายของสก.กำลังเป็นประเด็น
นอกจากนี้นายธนาธร ได้ชิงธงนำในการเปิดตัวการรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญที่เชียงใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ที่นอกจากล้ำหน้าเจ้าถิ่นอย่างพรรคเพื่อไทยที่ยังไม่ขยับอะไรแล้ว ยังมีประเด็นที่ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมากมาย หลังทำการดึงนายกษิต ภิรมย์และนายสมชัย ศรีสุทธิยากร มาร่วมดันการแก้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งทั้งสองคนนี้เคยเป็นขุนพลจากพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้หลายฝ่ายมองว่าพรรคอนาคตใหม่ ต้องการจะหาแนวร่วมจากทุกฝ่ายจริงๆ โดยส่งสัญญาณถึงพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นผู้เสนอเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เข้าเป็นแนวร่วมในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยใช่หรือไม่?
แม้หลายคนจะมองว่าแม้ในร่างนโยบายของรัฐบาลจะบรรจุเรื่องแก้รัฐธรรมนูญไว้แล้ว แต่การเดินเกมครั้งนี้ของพรรคฝ่ายค้าน ก็ถือเป็นการบีบ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ทำตามนโยบายที่ได้ให้ไว้ และถือเป็นการบีบพรรคการเมืองในสภาไม่ว่าฝ่ายใดให้ต้องเล่นเกมตาม โดยเหตุผลในการเดินสายเพื่อสร้างความรับรู้ให้แก่ประชาชน
การเฝ้าดูการทำงานของรัฐบาลและสภา ในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ตลอด 4 ปีหลังจากนี้ หรืออาจมองว่าไม่ควรเกินปีครึ่งจากนี้ ว่าจะทำได้ตามที่กล่าวไว้หรือไม่? ถ้าหากทำไม่ได้ หรือทำได้แต่ไม่ครบถ้วนนั้น ก็อาจจะมีผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะจะถือเป็นผลงานที่ล้มเหลวของรัฐบาล? หรือพรรคการเมืองใดในสภาที่เคยสัญญาเรื่องนี้ และจะกลายเป็นแต้มต่อในแก่พรรคฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่เองในการเลือกตั้งสมัยหน้า
แต่อย่างไรอีกฝ่ายอาจมองว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มีความเป็นประชาธิปไตยมากพออยู่แล้ว เพราะผ่านการลงประชามติกว่าร้อยละ 61.35 หรือ 16,820,402 เสียง ดังนั้นแล้วการที่จะแก้รัฐธรรมนูญนั้น จำเป็นที่จะต้องถามประชาชนก่อน จึงต้องมองว่าสาเหตุที่แท้จริงของการออกมาเดินสาย รณรงค์แก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ คืออะไรกันแน่? เพราะอาจมองว่าทางพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่เอง ก็เป็นพรรคที่ได้ประโยชน์ จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้มากที่สุดพรรคหนึ่ง ด้วยการได้ สส. บัญชีรายชื่อเข้ามาถึง 50 คน จริงหรือไม่?
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ฝ่ายการเมืองในสภาฯ ยังไม่ได้ให้ความสนใจมากพอ คือการให้ความสำคัญกับเรื่องเร่งด่วน อย่างการแก้ปัญหาปากท้อง สินค้าการเกษตร ที่นอกจากราคาสินค้าของภาคการเกษตรในปีนี้จะตกต่ำ ภาคการเกษตรไทยยังประสบปัญหาน้ำเพื่อการเกษตรไม่เพียงพออีกด้วย ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่ของประชาชน ดังนั้นแล้วการแก้ปัญหาดังกล่าวก่อนแล้วจึงมาพิจารณาการแก้รัฐธรรมนูญร่วมกันก็ดูจะเป็นทางออกที่ดีเช่นกันใช่หรือไม่?
“…คมดาบ ยิ่งฝนยิ่งคม มนุษย์ไยมิใช่เป็นเช่นกัน
มนุษย์มากหลายในโลกนี้ ไยมิใช่เติบใหญ่ในท่ามกลางความปวดร้าวขมขื่น…”
โกวเล้ง จากเรื่อง มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี