เมื่อช่วงปลายสัปดาห์แรกของเดือนส.ค. 2562 “ที่นี่แนวหน้า” มีโอกาสไปร่วมงานแถลงข่าว “ยกที่ 1 ชัยชนะสิทธิพนักงานบริการ” ณ รร.ฮิพโฮเทล ย่านรัชดา-ห้วยขวาง กรุงเทพฯ จัดโดย มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ (Empower Foundation) องค์กรที่ต่อสู้ด้านสิทธิของ “โสเภณี” หรือผู้ขายบริการทางเพศมาหลายสิบปี ซึ่งเหตุที่จัดงานดังกล่าวขึ้น เนื่องจากทราบว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กำลังยกร่างแก้ไข พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 เพื่อยุติการเอาผิดผู้ขายบริการทางเพศที่สมัครใจและไม่ใช่ผู้เยาว์
เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็น “เผือกร้อน” ที่ผู้มีอำนาจไม่ว่าจะมาจากวิถีทางใดก็ไม่ค่อยอยากยุ่งเพราะ “ผู้มีอำนาจจะดำรงอยู่ได้นั้น “ความชอบธรรม” เป็นสิ่งสำคัญ และ “กระแสสังคม” ก็คือที่มาของความชอบธรรมนั้น” ซึ่งต้องยอมรับว่าในความเป็นจริงนั้น “คนไทยจำนวนไม่น้อยยัง “กระอักกระอ่วนใจ” ในการยอมรับโสเภณีเป็นอาชีพสุจริต มีเกียรติและศักดิ์ศรีเท่าอาชีพอื่นๆ” ดังนั้นแม้จะเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ “ทั้งรัฐบาลเผด็จการและประชาธิปไตย และไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดก็ไม่กล้าแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะกลัวจะกระทบกับฐานเสียง” หรือก็คือประชาชน
ปัญหาจาก “ทัศนคติ” ข้างต้น ไม่ได้ส่งผลเฉพาะเรื่องของ “ส่วย” หรือการเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มเพื่อแลกกับการ “เอาหูไปนาเอาตาไปไร่” ปล่อยให้มีการค้าประเวณีในพื้นที่รับผิดชอบ และเรื่อง “ค้ามนุษย์” หรือเมื่อการค้าประเวณีลงไปอยู่ใต้ดิน “ไร้การรับรองย่อมเกิดการบังคับและเอารัดเอาเปรียบ” เพราะเหยื่อไม่กล้าแจ้งความเนื่องจากกลัวมีความผิดฐานค้าประเวณีเท่านั้น แต่ยัง “สร้างความ “อึดอัด” ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐระดับปฏิบัติงานภาคสนาม” ที่โดนแบบ “ทั้งขึ้นทั้งล่อง” จะจับหรือปล่อยก็ถูกด่าถูกตำหนิเสมอมาด้วย
ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ พ.ต.อ.(หญิง)ฉัตรแก้ว วรรณฉวี ผู้กำกับการ (สอบสวน) กองบัญชาการตำรวจนครบาล ลุกขึ้นแสดงความคิดเห็นช่วงท้ายงาน ระบุว่า ติดตามการเคลื่อนไหวของมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ รวมถึงแนวร่วมที่ต่อสู้ด้านสิทธิของผู้ขายบริการทางเพศ “รู้สึกเห็นใจ” เพราะเข้าใจดีว่าการแก้ไขหรือออกกฎหมายที่เป็นประเด็นทางสังคมไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อกฎหมายเดิมยังอยู่ตำรวจก็ต้องดำเนินการตามหน้าที่ที่กฎหมายนั้นกำหนดไว้
“ถ้าคุณถามตำรวจ จริงๆ เขาเห็นด้วยว่าการตีทะเบียนหรือการยกเลิก ในฐานะผู้ปฏิบัติเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ แต่เวลาร่างกฎหมายเขาไม่ให้ผู้ปฏิบัติไปพูด หรือถึงพูดเวลาไปร่างกฎหมายจริงๆ ก็ไม่ได้เอาไปใส่ อันนี้คือเรื่องจริง ถ้าถามตำรวจ เราคลุกคลีกับคนหาเช้ากินค่ำ เข้าใจทุกประเด็น แต่เวลากฎหมายผิด บัญญัติผิด ตำรวจก็ตามไล่จับคุณเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะกฎหมายเขียนไว้อย่างนั้น” พ.ต.อ.(หญิง) ฉัตรแก้ว กล่าว
เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.(หญิง)จิตติมา ธงไชย รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สน.ทองหล่อ (ปฏิบัติราชการ สน.พระโขนง) กล่าวว่า หลายคนมุ่งไปที่ประเด็นผู้ขายบริการทางเพศไม่ได้รับสิทธิหรือถูกเลือกปฏิบัติเมื่อเทียบกับผู้ต้องหาคนอื่นๆ ซึ่งโดยส่วนตัวเคยทำงานอยู่ “สน.พลับพลาไชย 2” มีโอกาสได้พบเห็นวิถีชีวิตย่าน “วงเวียน 22 กรกฎา” อันเป็นจุดหนึ่งที่มีผู้มาขายบริการทางเพศ แต่ก็ย้ำว่าตำรวจจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
“จริงๆ พื้นฐานของกฎหมายนี้น่าจะมาเรื่องศีลธรรม เพราะประเทศไทยมองว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนนอกมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควร สิ่งต่างๆ ทั้งหลายเหล่านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายซึ่งเป็นสายตรวจหรือพนักงานสอบสวนที่รับตัวมา กรณีปรับ คนที่ไปปรับก็มุ่งที่จะจ่ายค่าปรับแล้วจะรีบออกจากโรงพักเลย แทบจะไม่ได้พูดถึงสิทธิ บางคนแทบจะบอกว่าฝากบัตรประชาชนไปปรับได้ไหม อันนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ถ้าหากว่าตราบใดยังมีกฎหมายนี้ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังคงต้องจับกุมเรื่อยๆ” พ.ต.ท.(หญิง)จิตติมา ระบุ
เสียงสะท้อนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 ท่าน ทำให้นึกถึงกรณี “หาบเร่แผงลอย” ที่แม้จะมีองค์ความรู้ใหม่ๆ ว่าการจัดระเบียบทำได้ภายใต้การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม ไม่จำเป็นต้องห้ามเพียงอย่างเดียวอีกทั้งมีกฎหมายรับรองอยู่แล้วคือ “พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 (มาตรา 20)” ที่ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น กับผู้บังคับการหน่วยตำรวจท้องที่ ในฐานะเจ้าหน้าพนักงานจราจร ร่วมกันอนุญาตให้ “เปิดจุดผ่อนผัน” แบบกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ค้าปฏิบัติตามได้
กระทั่งรัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีนโยบายจัดระเบียบสังคม จึงเป็นแรงกดดันไปยัง อปท. และตำรวจ ตัดสินใจยกเลิกจุดผ่อนผันไปเป็นจำนวนมาก ส่วนพรรคการเมืองก็ไม่ค่อยกล้าประกาศช่วยเหลือผู้ค้าหาบเร่แผงลอยอย่างเต็มที่เพราะกลัวจะถูกโจมตี “เทศกิจ” ในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายจึงต้องกวดขัน แม้ความรู้สึกส่วนตัวจะเห็นว่าย้ายไปก็ไม่รอดเพราะที่ใหม่ขายไม่ดีก็ตามดังที่บางท่านได้ “เปิดใจ” ในงาน “Bangkok Street Food Symposium” ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อเดือนม.ค. 2562 ดังนี้..
“จริงๆ เราไม่อยากทำ ไม่อยากไล่ไปไหน แต่เมื่อมันเป็นนโยบาย เป็นกฎหมายก็ต้องทำ ไม่ทำก็ละเว้น ทุกวันนี้เราก็ทู่ซี้อยู่กันไป จริงๆ เห็นหน้ากันทุกวัน รู้จักผู้ค้า อยู่กันนานจนรู้จักคุ้นเคยกันหมดแล้ว ก็ไม่อยากให้ไปไหน คิดถึงกันอยู่ ในเมื่อมันมาอย่างนี้ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน มันทำอะไรไม่ได้ ก็ลูบหน้าปะจมูก เจอกันทุกวันก็พูดกันไปอย่างนี้ อยากให้หน่วยงานที่ใหญ่กว่ามาพูด รัฐบาลอะไรอย่างนี้” ตัวแทนเจ้าหน้าที่เทศกิจ กล่าว
นั่นคือตัวอย่างความอึดอัดใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน “ถ้าไม่ทำอะไรก็จะถูกมองว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ถ้าทำจริงจังก็จะถูกตำหนิว่ารังแกคนจนหรือละเมิดสิทธิมนุษยชน” ซึ่งปัญหาไม่ได้มาจากเจ้าหน้าที่แต่อยู่ที่การวางนโยบายหรือการออกกฎหมาย ทั้งนี้นอกจาก 2 เรื่องข้างต้น ยังมีประเด็นอื่นๆ เช่น “ชุมชนกับพื้นที่ป่า” ที่หากไปถามเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ จะพบว่าค่อนข้างประนีประนอมผ่อนสั้นผ่อนยาวด้วยเข้าใจวิถีชีวิตของชาวบ้าน
จึงอยากฝากไปถึงผู้กำหนดนโยบาย..ก่อนร่างกฎหมายต่างๆ ช่วยให้ความสำคัญกับ “เสียงจากข้างล่าง” ทั้งที่เป็นประชาชนและเจ้าหน้าที่ภาคสนามอย่างจริงจังได้หรือไม่? เพราะคนเหล่านี้เข้าใจบริบทสังคม ณ จุดนั้นดีที่สุด เพื่อให้กฎหมายที่ออกมาบังคับใช้ได้จริง ไม่เกิดภาพความ “ลักลั่น” ปากว่าตาขยิบแบบที่เป็นอยู่!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี