ในคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน กรรมการ ป.ป.ช.ที่นักการเมืองและข้าราชการทุจริตเกรงขามมากที่สุด คงหนีไม่พ้นคนชื่อ “สุภา ปิยะจิตติ”
ที่ผ่านมา คุณสุภาเป็นคนทำงานเงียบๆ ไม่มีการสร้างภาพผ่านสื่อหวือหวา แต่ผลงานจับต้องได้
จับสำนวนไต่สวนคดีไหน สำนวนแน่นเปรี๊ยะ ดิ้นหลุดยาก
คดีใหญ่ๆ ก็เช่น คดีจำนำข้าวของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ที่ผ่านมา ใครถูก “สุภา” ไต่สวน มักต้องหาทางเตะตัดขา ร้องคัดค้าน หาทางเปลี่ยนตัว หรือหาทางโจมตี ดิสเครดิต “สุภา” ด้วยประเด็นอื่นที่อยู่นอกสำนวนที่ตนเองถูกกล่าวหา
1. วิธีการทำงานของ ป.ป.ช. กรณีทั่วไป จะมีการตั้งอนุไต่สวน กรรมการ ป.ป.ช.ที่เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ จะมีบทบาทสำคัญมาก ในการแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริง พยาน หลักฐานที่สำคัญอันเปรียบเสมือนไพ่เด็ดเพื่อจัดการกับคนโกงแบบดิ้นไม่หลุด เพราะถูกมัดแน่นด้วยพยานหลักฐาน
หากประธานไต่สวนทำหน้าที่มีประสิทธิภาพ เก็บงานเนี้ยบ ดูแลการรวบรวมพยานหลักฐานมัดแน่น จนเห็นว่าคำร้องมีมูลเพียงพอที่จะชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหา เมื่อคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ สรุปเรื่องแล้วชงเข้าที่ประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่ ก็มีความเป็นได้เกือบร้อยทั้งร้อยที่ป.ป.ช.ชุดใหญ่จะพิจารณาชี้มูลความผิด ตามสำนวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนฯที่เสนอเข้ามา (หรืออาจตีกลับให้ไปเติมข้อมูลอีกเล็กน้อยก็ชี้มูลความผิด ส่งอัยการ ฟ้องศาลต่อไปได้)
กรณีทุจริตใหญ่ เกี่ยวกับนักการเมืองและข้าราชการฉ้อฉล ขณะนี้อยู่ในมือ “สุภา ปิยะจิตติ” หลายเรื่อง
จึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้าคนเหล่านี้จะมองเห็น “สุภา” เป็นเสี้ยนหนามตัวฉกาจ
2. เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2562 ที่สำนักงาน ป.ป.ช. มีการจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับชาติ หัวข้อ “การผลักดันยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สู่ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต” พ.ศ. 2562
ในช่วงท้ายของงานสัมมนา มีผู้เข้าร่วมงานถาม พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. พาดพิงถึงบุคคลอื่น อันอาจหมายถึง “สุภา ปิยะจิตติ”โดยกล่าวทำนองว่า คนรอบๆ ตัวประธานกรรมการ ป.ป.ช. มีคนทุจริตอยู่ และอาจมีพฤติการณ์เกี่ยวพันในคดีปาล์มอินโดนีเซียด้วยหรือไม่? (คุณสุภาถูกยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวหาว่ามีส่วนติดสินบนพยานคดีปาล์มอินโดฯ)
ปรากฏว่า หลังจบคำถาม คุณสุภาได้ลุกขึ้น เดินออกไปตอบที่โพเดี้ยม ใช้สิทธิกรณีที่ถูกพาดพิงทันที
สำนักข่าวอิศราได้รายงานเนื้อหาสาระที่น่าสนใจในการชี้แจงตอบโต้นั้น ใจความดังนี้
“...กรณีที่ถูกพาดพิงนั้นไม่เป็นความจริง เพราะการไต่สวนคดีปลูกปาล์มอินโดนีเซีย เป็นการไต่สวนระหว่างประเทศ โดย ป.ป.ช.ไทยต้องส่งคำถามที่จะไต่สวนพยานให้กับป.ป.ช.อินโดนีเซียเสียก่อน
หลังจากนั้น เดินทางไปที่สำนักงานป.ป.ช.อินโดนีเซีย ฝ่ายป.ป.ช.ไทย และฝ่ายอัยการเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ไม่มีสิทธิตั้งคำถาม และการถามคำถามเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.อินโดนีเซีย
จึงนึกไม่ออกว่ามีการกล่าวหาให้สินบนพยานจะทำได้อย่างไร
ขณะเดียวกัน ได้ตรวจสอบกระแสข่าวที่อ้างว่าได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อตำรวจอินโดนีเซียนั้น ไม่พบว่ามีการร้องทุกข์ดังกล่าว
ยืนยันว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำงานหนักกันทุกคน
ภายหลังการสัมมนา น.ส.สุภา ให้สัมภาษณ์สื่อถึงกรณีนี้สั้นๆ ว่า เป็นเรื่องปกติที่ ป.ป.ช. จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ต้องไปดูในข้อกฎหมายว่าการฟ้องร้องดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายชัดเจนหรือไม่ เพราะในบางกรณีหาก ป.ป.ช. นิ่งเฉยไปเสียหมด ประชาชนจะสงสัยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ส่วนกรณีที่ประธานสภาหอการค้าอินโดนีเซีย-ไทยร้องผู้ตรวจการแผ่นดินให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กระทบต่อส่วนตัว และองค์กร ป.ป.ช. จะให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการอย่างไรหรือไม่ น.ส.สุภา กล่าวว่า คงไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนมีสิทธิ์สงสัย ต้องเชื่อมั่นในองค์กร”
3. สังคมต้องให้กำลังใจผู้ที่ทำงานตรงไปตรงมา และไม่ควรสนับสนุนผู้ที่ต้องการจะดิสเครดิตคนทำงาน
เรื่องนี้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ยืนยันสำทับว่า ตอนที่ ป.ป.ช. ไปไต่สวนพยานที่อินโดนีเซีย ต้องทำเรื่องขอความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศผ่านอัยการสูงสุด ส่วนเรื่องการไต่สวนพยานที่อินโดนีเซีย ป.ป.ช.ไทยไม่มีอำนาจไปดำเนินการ เป็นอำนาจของ ป.ป.ช.อินโดนีเซีย
นักข่าวถามว่า การเคลื่อนไหวนี้เหมือนทำลายความน่าเชื่อถือของ ป.ป.ช. หรือไม่?
พล.ต.อ.วัชรพล ตอบว่า เป็นปกติ เนื่องจากเป็นคดีสำคัญระหว่างประเทศ มีความเสียหายจำนวนมาก ผู้ที่ถูก ป.ป.ช.กล่าวโทษต้องพยายามชี้แจง นำพยานหลักฐานในส่วนของเขามา ป.ป.ช.ให้โอกาสเต็มที่ เป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กันในพยานหลักฐานและคดีต่างๆ มองว่าเป็นเรื่องปกติ ยิ่งเรื่องใหญ่ยิ่งเจออะไรแบบนี้ เป็นของธรรมดา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้หวั่นไหว เป็นส่วนหนึ่งของวิถีการทำงานของ ป.ป.ช. อยู่แล้ว
“คดีคืบหน้าไปเกิน 80% แล้ว บางเรื่องไปไกลแล้ว ถ้าเสร็จเมื่อไหร่ สัญญาว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะชี้แจงให้สื่อมวลชนทราบ”
4. ถ้ายังจำได้ ตอนที่คุณสุภาไต่สวนคดีจำนำข้าว ตอนนั้นก็ถูกป้ายสีสารพัด ถูกร้องสารพันเช่นกัน
เป็นธรรมดา จับปลาใหญ่ ก็จะดิ้นแรง
ขณะนั้น คุณยิ่งลักษณ์ก็พยายามร้องคัดค้าน โดยกล่าวหาว่าคุณสภาเป็นคู่ขัดแย้ง อ้างทำนองว่าสมัยเป็นข้าราชการว่าเคยถูกโยกย้ายแล้วอาจจะมีความแค้นเคือง
แต่ถ้าไปดูประวัติการทำงานของคุณสภาจริงๆ จะพบว่าเป็น “ข้าราชการตงฉิน” ที่หายากยิ่งในยุคปัจจุบัน
สมัยเป็นรองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ดูแลระเบียบการประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อี-อ๊อกชัน) เคยทักท้วงการประมูลคลื่น 3 จี
สมัยเป็นรองปลัดคลัง เคยงัดข้อฝ่ายการเมืองเรื่องสัญญาเงินกู้ 40,000 ล้านบาท ตามโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทเนื่องจากไม่มีรายละเอียดโครงการและผิดระเบียบสำนักนายกฯ แถมการประมูลโครงการก็ฉาวโฉ่
เคยทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ยืนยันตัวเลขขาดทุนจำนำข้าวมหาศาล ตามหลักการปิดบัญชีโครงการของรัฐ จนฝ่ายการเมืองไม่พอใจ
คุณสุภา ปิยะจิตติ จบบัญชีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และยังจบนิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเดียวกันเพิ่มเติมอีกด้วย จบรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต นิด้า ทำงานรับราชการในกระทรวงการคลังมาโดยตลอด ตำแหน่งสำคัญ เช่น ผอ.สำนักรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ, รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง, ผอ.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ, รองปลัดกระทรวงการคลัง
ไม่แปลกใจ ที่เธอจะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยม กลวิธีการทุจริตในแวดวงหน่วยงานธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนเหลี่ยมคูการยักย้ายถ่ายเทในทางการเงินการลงทุนสมัยใหม่ได้ดี
และอย่าแปลกใจ ถ้า “สุภา” จะถูกหมายหัวจากนักการเมืองและข้าราชการทุจริตลำดับต้นๆ ของประเทศไทย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี