บทความวันนี้หมายความถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศชาติอันเป็นภาพรวม มิใช่เศรษฐกิจของเจ้าสัวหรือนักการเมืองหรือคนกลุ่มน้อยหยิบมือเดียวแต่ประการใด
เหตุที่ต้องแสดงเรื่องนี้ในวันนี้ก็เพราะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งความจริงคนส่วนใหญ่
ก็รับรู้กันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ที่ผ่านมารัฐบาลท่านไม่รับรู้ เพราะได้นำเอาบทความในหนังสือพิมพ์ต่างประเทศบางสำนักที่นำเสนออย่างจำกัดว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ กระทั่งบางเรื่องก็กล่าวว่าดีที่สุดในโลกด้วยซ้ำไป
แต่ในที่สุดก็หนีความจริงไปไม่พ้น
เพราะกระแสแห่งสัจจะนั้นมีพลานุภาพดุจดังแสงสว่างที่จะกำจัดขับไล่ความมืดให้หมดไปไม่วันเวลาใดก็วันเวลาหนึ่ง เพราะการซึ่งจะโกหก
หลอกลวงผู้คนนั้นจะทำได้ก็แต่เฉพาะกับบางคนหรือบางโอกาสบางเวลาเท่านั้น ไม่สามารถโกหกหลอกลวงคนทุกคนได้ และไม่สามารถโกหกตลอดไปได้
ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้ยอมรับว่าประเทศไทยมีปัญหาเศรษฐกิจจริงๆ ซึ่งต้องถือว่าเป็นการยอมรับอย่างลูกผู้ชายเป็นครั้งแรก ดังนั้น จึงได้นำเสนอแนวคิดดังที่แถลงว่าขอร้องให้คนที่มีเงินนำเงินออกมาใช้จ่าย เพื่อจะทำให้เศรษฐกิจเดินได้
แต่ที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้พูดถึงก็คือใครเป็นต้นเหตุทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยมีปัญหา และการกระทำอะไรบ้างหรือนโยบายอะไรบ้างที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยมีปัญหา เพราะต้องถือว่านี่คือสมุทัยอริยสัจหรือเหตุแห่งทุกข์ หรือเหตุแห่งปัญหา ซึ่งเมื่อจะแก้ปัญหาแล้วก็ต้องรู้ถึงปัญหานั้น รู้เหตุแห่งปัญหานั้น รู้การดับปัญหานั้น และรู้วิธีการแก้ปัญหานั้นด้วย
รวมความก็คืออริยสัจสี่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้สามารถนำมาปรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ด้วย ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีสติปัญญาเข้าถึงและนำมาใช้ได้โดยถูกต้องหรือไม่เท่านั้น หากเข้าไม่ถึงและนำมาใช้ไม่ได้ก็เสียทีที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ ไม่ต่างอันใดกับจวักที่ไม่รู้รสแกง
ดังนั้นหากจะกล่าวถึงเหตุแห่งปัญหาเศรษฐกิจของประเทศก็ต้องชี้ไปที่คนรับผิดชอบเรื่องเศรษฐกิจว่าเป็นประการใด และนโยบาย ตลอดจนมาตรการที่ใช้ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เห็นมีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศชาติและประชาชน
จนมีผู้สรุปว่าประเทศไทยได้ทำเรื่องเพียงสองเรื่องเท่านั้น คือ อวยประโยชน์ให้แก่เจ้าสัวหรือทุนใหญ่หรือต่างชาติ และสำหรับประชาชนโดยเฉพาะคนยากคนจนก็ใช้วิธีการไล่แจกเงินทองโดยวิธีที่เรียกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งได้ใช้เงินไปหลายแสนล้านบาท แต่ทว่าเงินจำนวนมากก็ถูกติติงว่ามิได้หมุนเวียนแบบเดียวกับการรดน้ำต้นไม้ที่รากที่จะซึมซ่านมายังรากใหญ่ ลำต้น ก้าน กิ่ง ใบ และดอก
ดังนั้นการหมุนเวียนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจจึงไม่เกิดขึ้นเพราะเงินส่วนใหญ่หมุนเวียนเพียง 1-2 รอบเท่านั้น และไปบรรจบอยู่ที่เจ้าสัวไม่กี่รายเท่านั้น
ในขณะที่รายได้ของรัฐก็ใช้วิธีเพิ่มและเข้มงวดในการจัดเก็บภาษีมากมายหลายชนิด โดยเฉพาะการเพิ่มรายได้จากสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งได้เพิ่มจำนวนขึ้นจากยุคสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดละ 37 ล้านฉบับ ล่าสุดเพิ่มเป็น 90 ล้านฉบับ เดือนหนึ่งออกสองงวด เท่ากับดูดเงินจากทุกพื้นที่ทั่วประเทศปีละ 200,000 ล้านบาท กระแสเงินจึงหมดไปจากทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ในขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวที่แผ่ขยายไปทุกพื้นที่ได้ลดหดหายไปเกือบหมด รายได้จากนักท่องเที่ยวที่มีคนจีนเข้ามาเป็นลำดับหนึ่ง กลายเป็นอินเดียและต้องพึ่งตลาดอินเดีย โดยไม่เคยคิดที่จะแก้ไขปัญหาว่ามีสาเหตุมาจากอะไร และเชื่อมโยงกับปัญหาการส่งออกซึ่งกระทบไปอย่างกว้างขวางด้วย
เหล่านั้นคือสมุทัยอริยสัจของปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นการจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศชาติจึงไม่อาจทำได้ด้วยการออกไปตรวจพื้นที่ ถ่ายภาพเผยแพร่ทางสื่อ หรือแค่กระบวนการตั้งคณะกรรมการเหมือนกับที่ผ่านๆ มา หากแต่ต้องมีนโยบายและมาตรการที่เฉียบขาดอย่างตรงเป้าเข้าจุดและเดินงานได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญเห็นจะต้องดำเนินการดังต่อไปนี้
ประการแรก ต้องเร่งแก้ไขปัญหาการส่งออกทุกประเภท ซึ่งไม่มีใครดำเนินการมาช้านานแล้ว กลไกของกระทรวงพาณิชย์จะต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจัง นายกรัฐมนตรีควรต้องเร่งแต่งตั้งผู้แทนการค้าที่มีฐานะเทียบเท่ารัฐมนตรีเป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีในการไปทำความตกลงค้าขายส่งออกสินค้าไทยไปต่างประเทศให้ได้จำนวนปีละ 500,000-700,000 ล้านบาท ให้เร็วที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ 5 ปีที่ผ่านมามีการขัดขวางเตะตัดขาจนไม่มีการตั้งใครไปทำหน้าที่แม้แต่คนเดียว ซึ่งถึงวันนี้เชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงจะเสียดายโอกาสของประเทศชาติที่ผ่านไปอย่างไม่มีวันกลับ
ประการที่สอง ต้องเร่งระดมการลงทุนจากทั่วโลกและจากทุกขั้วมหาอำนาจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อการนี้จะต้องตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือเขตการค้าพิเศษชายแดนตามที่ คสช. เคยดำริและขับเคลื่อนในช่วงที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นรองนายกรัฐมนตรี และถูกเลิกล้มไปจนหมดสิ้น โดยมี EEC ซึ่งเกี่ยวกับพื้นที่สามจังหวัดเล็กๆ ในมุมอับของภาคตะวันออก โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนกว่า 95% ของประเทศเลย และพื้นที่ขับเคลื่อนจริงๆ ก็เป็นวงแคบแค่นิคมอุตสาหกรรม 11 แห่ง รวมทั้งพื้นที่สมบัติของแผ่นดินที่กำลังจะถูกปลดให้มาจัดทำนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเท่านั้น
จะต้องตระหนักว่าที่ผ่านมานั้นสิ่งที่เรียกว่าการลงทุนไม่มีใครเห็นตัวเงินและรู้ตัวเงินจริงว่าเข้ามาลงทุนเท่าใด มีแค่ตัวเลขการขอส่งเสริมการลงทุนเท่านั้น ขณะที่ผู้คนในวงการรู้ดีว่าเงินลงทุนจากทั่วทุกสารทิศของโลกมีทิศทางไหลไปสู่เวียดนาม ลาว กัมพูชา และเมียนมา มิได้มีกระแสที่จะไหลมาที่ EEC อย่างเอิกเกริกเหมือนที่เคยตั้งความหวังกันไว้เลยที่สำคัญ จะต้องทำความเข้าใจหาสาเหตุให้ชัดเจนว่าอะไรคือต้นเหตุที่ทำให้การลงทุนที่เป็นตัวเงินลงทุนแท้จริงไม่คึกคักเหมือนดังที่พยายามอยากจะให้มีขึ้น
เมื่อเงินลงทุนไม่ไหลเข้าดังที่ต้องการ การจ้างงานจึงไม่เกิดขึ้น การหมุนเวียนในทางการค้าและทางเศรษฐกิจก็ขาดสะบั้นลงในแทบทุกวงจร การขาดแคลนเงินและความฝืดเคืองจึงแผ่ขยายตัวไปทั่วประเทศ ร่วม 70 จังหวัดของประเทศไทยที่ไม่มีเงินลงทุนไหลเข้า จึงซบเซาชะงักงันโดยทั่วไป ดังนั้น จึงต้องเร่งฟื้นฟูเรื่องนี้และต้องกำจัดเหตุที่ทำให้เงินลงทุนไม่ไหลเข้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการตั้งตนเป็นฝักฝ่ายในขั้วการเมืองของโลก จนประหนึ่งคล้ายกับเป็นเมืองขึ้นของบางชาติ นั่นแหละคือต้นเหตุที่ตรงจุดที่สุด
ประการที่สาม จะต้องเร่งฟื้นฟูส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างทั่วด้านเพื่อทำให้สรรพกิจการและทุกพื้นที่ทั่วประเทศสามารถรับรายได้จากการ
ท่องเที่ยวได้เหมือนดังแต่ก่อน การใดที่เป็นอุปสรรคหรือทำลายการท่องเที่ยวโดยฟังแต่คำเท็จของข้าราชการกังฉินที่มุ่งทำมาหากินกับกิจการและนักท่องเที่ยว ซึ่งได้ทำลายการท่องเที่ยวของประเทศอย่างยับเยินมาแล้ว
รายได้จากการท่องเที่ยวนั้นเป็นรายได้ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกขนเงินมาให้คนไทย แท้จริงให้ผลมากกว่าการส่งสินค้าไปขาย เพราะต้องผลิตสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และต้องส่งออกไปขายในต่างประเทศ กว่าจะได้รับเงินกลับมา
ตรงกันข้ามกับการท่องเที่ยวที่ผู้คนทั่วโลกพากันขนเงินเข้ามาท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยอย่างครึกครื้นและมีความสุขอันเนื่องมาจากความล้ำเลิศของทรัพยากรท่องเที่ยวของประเทศไทยที่สมบูรณ์พร้อม
อ้างแต่ปากเรื่องความจงรักภักดี แต่ไฉนไม่อัญเชิญพระบรมราโชบายอันเป็นยุทธศาสตร์ชาติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่มุ่งสร้างชาติเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมบริการท่องเที่ยว และทรงทำให้เห็นผลประจักษ์มาแล้ว
ขณะนี้นักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยเฉพาะจากจีนแห่กันไปพม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา และอินโดนีเซีย กันเอิกเกริก แม้ฝั่งแม่น้ำโขงตรงกันข้ามประเทศไทยก็สว่างไสวและคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว ขณะที่ฝั่งประเทศไทยมีแต่คนใจคอห่อเหี่ยวยืนชะเง้อชะแง้แลอยู่ริมแม่น้ำโขงให้อัปยศยิ่งนัก
ทั้งสามประการนี้ถ้าทำจริงทำเป็น รับรองว่าไม่เกิน 4 เดือน ก็จะเห็นการขับเคลื่อนฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศชาติและประชาชนก็จะเริ่มเงยหน้าอ้าปากได้ ก่อนที่กลียุคอันเกิดแต่ข้าวยากหมากแพงและความไม่มีกิน ไม่มีงานทำ จะลุกลามจนลุกเป็นไฟ!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี