ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้มีวิชาชีพต่างๆ ทั้งรายบุคคล และรายกลุ่ม อยู่เป็นระยะๆ ซึ่งส่วนใหญ่ต่างก็มีความพึงพอใจกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองในยุคทหารนำพา ระคนไปกับความวิตกกังวลใจในความเป็นไป และทิศทางของประเทศชาติ ว่าช่างขาดความแน่นอน และดูว่า ไม่ค่อยจะมีอะไรให้เบิกบานใจ หรือเป็นความหวังกันสักเท่าไหร่
นั่นก็เพราะสิ่งต่างๆ ที่ฝ่ายผู้นำรัฐบาลพร่ำพูดพร่ำบอกว่า จะทำโน่น ทำนี่ นั้นช่างดูห่างไกลไปจากการแก้ไขปัญหาความท้าทายในชีวิตประจำวันของประชาชน ส่งผลให้ต่างคนต่างมีความท้อแท้อยู่ในใจ
ผมก็มักจะให้ความเห็นไปว่า หากจะรอให้ฝ่ายรัฐบาล (ฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการประจำ) มาทำโน่นทำนี่ให้ได้ดังใจ ก็คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเขานั้นมัวคิดแต่เรื่องการจะอยู่ในอำนาจ หรือพยายามเพียงเพื่ออยู่ให้รอดเป็นหลักเท่านั้น แถมยังหวังพึ่งแต่การประชาสัมพันธ์ว่ามีผลงานแบบโฆษณาชวนเชื่อกันไปวันๆ หนึ่ง แล้วก็ตรึงฐานเสียงให้อยู่นิ่งๆ ไม่คิดลุกฮือ ด้วยนโยบายและมาตรการประชานิยม เสมือนเป็นการเอาเงินงบประมาณไปซื้อความยอมสงบราบคาบ
ฉะนั้น ผู้มีปัญหา ซึ่งเป็นผู้เสียภาษีหลักที่ยังมีกำลังวังชา จะมัวแต่ทอดอาลัยตายอยาก หรือรอฟ้าเปิดอย่างลมๆ แล้งๆ ไม่ได้ เพราะไม่ต่างอะไรกับการละเว้นซึ่งการใช้สิทธิและหน้าที่ในฐานะเจ้าของประเทศร่วม ซึ่งต้องคิดอ่านการหนึ่งใดเพื่ออาชีพ หรือวิชาชีพของตนเอง และเพื่อบ้านเมือง ก็ควรได้รวมตัวกันเพื่อแสดงความคิดเห็น มีข้อเสนอแนะต่างๆ ไปยังรัฐบาล เพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น
นอกจากนั้น ฝ่ายวิชาชีพ หรือกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ ยังมีองค์กรรองรับ เช่น สภาทนายความ สภาวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น หรือไม่ก็มีองค์กรกลาง เช่น สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมฯ ที่พอจะใช้เป็นเวทีหารือ และเป็นซุ่มเป็นเสียงให้ได้
โดยที่ผ่านๆ มา การเคลื่อนไหว และการขับเคลื่อน เพื่อเปลี่ยนรูปโฉมบ้านเมืองให้ไปข้างหน้า มักจะมาจากกลุ่มนิสิตนักศึกษา กลุ่มเกษตร กลุ่มแรงงาน กลุ่มปัญญาชน กลุ่มนักเคลื่อนไหว เป็นหลัก ซึ่งจะเห็นได้ว่า ขาดการออกมาแสดงตัวตน และแสดงความคิดเห็นของ “สภาวิชาชีพ” และองค์กรอาชีพต่างๆ
ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่า เป็นไปได้อย่างไร ที่เมื่อคณะรัฐบาลออกโครงการผลาญเงินงบประมาณ (ภาษีราษฎร) ไม่ว่าจะเป็นโครงการยักษ์ใหญ่ โครงการประชานิยม ซึ่งใช้เงินมหาศาล แต่สังคมไทยกลับไม่ได้เห็นการออกมาให้ความเห็น หรือคัดค้านจากกลุ่มวิชาชีพใดๆ กันเลย
ในบางส่วนของสังคมอาจมีความคิด ความเชื่อว่า การออกมาแสดงความคิดเห็นไปก็เปลืองตัวเปล่าๆ แถมอาจจะยังถูกเพ่งเล็ง ถูกกลั่นแกล้งในภายภาคหน้าได้ แต่ถ้าลองคิดจากอีกมุมหนึ่งดูว่า ถ้าเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย ผลก็คือ ประเทศไทยสูญเสีย และคนไทยทุกหมู่เหล่าก็สูญเสียไปด้วย
ฉะนั้น การกระทำหนึ่งใดจึงน่าจะดีกว่าไม่ทำอะไร และยอมให้ถูก “กระทำ” ต่อไปเรื่อยๆ
เล่ามาถึงตรงนี้ ก็อยากจะเชิญชวนมาศึกษาเหตุการณ์ล่าสุดที่ซูดาน โดยมีประชาชนชาวซูดานรวมตัวกันออกมาประท้วงขับไล่ผู้นำเผด็จการ (ครองอำนาจรวม 30 ปี) จนฝ่ายทหารไม่สามารถอยู่นิ่งเฉย ได้เข้ามาบีบประธานาธิบดีออกไปได้ แล้วก็มุ่งที่จะเข้ายึดอำนาจเป็นของตนเองตามสูตร แต่ทว่าครั้งนี้ ประชาชนชาวซูดานนั้นไม่ยอม ออกมาประท้วงต่อต้าน ยื้อกันไปมาร่วม 6 – 7 เดือน แต่ในที่สุด ฝ่ายประชาชนและทหารซูดานก็ออมชอมกันได้ (โปรดดูบทความ “ซูดาน กรณีศึกษา กองทัพกับฝ่ายต่อต้าน: คนละครึ่งทาง” ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2562)
ประเด็นก็คือ แล้วใครเล่าที่ออกมาเป็นแกนนำโค่นล้มประธานาธิบดีเผด็จการ และช่วยกันต่อต้านฝ่ายทหารที่จ้องจะรวบอำนาจ?
คำตอบก็คือ ฝ่ายวิชาชีพ แพทย์ พยาบาล ทนายความ และที่สำคัญ เพศสตรีเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอันสำคัญ
คำถามต่อมาสำหรับสังคมไทยก็คือ แล้วฝ่ายวิชาชีพ กลุ่มสาขาอาชีพ จะยังนั่งรอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาโปรดอย่างลมๆ แล้งๆ กันต่อไป หรือว่าจะลองเปลี่ยนวิธีการมาเป็นช่วยกันออกแรง เพื่อบ้านเมือง จะนำพา หรือจะร่วมไม้ร่วมมือกับกลุ่มเคลื่อนไหวอื่นๆ
ฝ่ายวิชาชีพและประชาชนชาวซูดาน ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว เพราะเขาคิดถึงบ้านเมือง และได้แสดงความเป็น “เจ้าของ” ประเทศอย่างแท้จริง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี