สัปดาห์ที่ผ่านมา นักข่าวไปถาม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึงความคืบหน้าโครงการทำกระเช้าขึ้นภูกระดึง ทำนองว่าเป็นเรื่องที่ทางจังหวัดจะต้องไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นมาให้ครบถ้วนก่อนจะเสนอมายังกระทรวง
และเมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่จะสร้างกระเช้า?
รัฐมนตรีวราวุธกล่าวว่า มีแนวโน้มทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ต้องรอทางจังหวัดส่งเรื่องมาก่อน
สัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อถกเถียงเรื่องกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จึงกลับมาเป็นประเด็นสาธารณะอีกครั้ง
1. ก่อนหน้านี้... องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือชื่อย่อว่า อพท. ได้เคยรายงานผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย ต่อคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ครม.ครั้งนั้น มีมติ 2 ประเด็น
หนึ่ง รับทราบตามที่ อพท.เสนอ
สอง ให้กระทรวงทรัพย์ฯ รับฟังความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และ สศช.ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบและคำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวมของประเทศเป็นสำคัญ เพื่อให้ได้ข้อสรุปแนวทางการดำเนินการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย
ที่ชัดเจนและเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและธรรมชาติน้อยที่สุด
หลังจากนั้น ก็ยังไม่มีการนำเรื่องเสนอเข้า ครม.อีก จนถึงปัจจุบัน
2. ระยะหลัง สถานที่ท่องเที่ยวในต่างประเทศหลายแห่ง นิยมทำกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปบนภูเขา อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว เป็นที่นิยมมาก เช่น
บานาน่าฮิลล์ ของประเทศเวียดนาม คนไทยไปเที่ยวกันเยอะ ฯลฯ เริ่มมีการหยิบมาอ้างถึงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
จำได้ว่า ภาคธุรกิจเอกชนบางส่วนในจังหวัดเลยก็เคยแสดงท่าทีสนับสนุนแข็งขัน ทำนองว่า ประชาชนส่วนหนึ่งอยากให้มีกระเช้าขึ้นภูกระดึง ทั้งใน จ.เลย และจังหวัดอื่นๆ เพราะจะทำให้มีสิทธิความเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นคนชรา หรือคนทุพพลภาพก็สามารถขึ้นมาสัมผัสความเป็นธรรมชาติได้ เป็นตำนานของที่นี่ว่า ครั้งหนึ่งเราคือผู้พิชิตภูกระดึง โดยสามารถจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปชมธรรมชาติ ว่าปีหนึ่งรับแค่ 20,000 คน และการสร้างกระเช้าก็เป็นทางเลือกหนึ่งให้ทุกคนเท่านั้น
3. ข้อมูลและมุมมองอีกด้านที่น่าสนใจ
นายศศิน เฉลิมลาภ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ชี้ประเด็นที่น่าสนใจมาก โดยไม่ได้มุ่งคัดค้านโครงการกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงด้วยประเด็นผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่ยังชี้ถึงจุดแข็งของการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของภูกระดึงด้วย
ถ้าทำกระเช้าภูกระดึง จะมีสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์หลายประการ
ประการแรก คือ ธุรกิจที่สัมพันธ์กับอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน อาคารพาณิชย์ ที่มีคนครอบครองอยู่รอบๆ ภูเขาภูกระดึง และเส้นทางสู่ภูกระดึง จะคึกคักทั้งการเพิ่มมูลค่า การหมุนเวียนของเม็ดเงินต่างๆ ในการขยายกิจการเพื่อรับการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้น และหมุนเวียนมาเยือนเพื่อขึ้นลงกระเช้าไปที่ราบกว้างใหญ่บนยอดเขา ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากใช้สองเท้าเดิน
ประการที่สอง คือ ทำให้คนที่คิดว่าตัวเองขึ้นไม่ไหว ไม่มีเวลา และไม่กล้าขึ้น รวมถึงผู้ที่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ และร่างกายอื่นๆ มีโอกาสขึ้นไปได้ และกระเช้าไฟฟ้าอาจจะช่วยนำคนเจ็บป่วย บาดเจ็บ ขยะ และขนส่งข้าวปลาอาหาร เครื่องใช้ขึ้นไปง่ายขึ้น นี่เป็นเหตุผลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น
แต่การสร้างกระเช้าภูกระดึง มีโจทย์ที่ไม่มีใครคิดจะตอบ สามข้อสามระดับ
ระดับที่ 1 ภูกระดึงเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเดินขึ้นเขาที่เป็น Trekking trail ที่ดีที่สุดของประเทศ เมื่อประเมินจากระยะทางที่ไม่ไกลมาก แทบไม่มีอันตรายอะไร ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุจากความประมาท การจัดการที่ลงตัว มีค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยว
ไม่แพง รวมถึงเมื่อขึ้นไปแล้วก็มีที่สวยๆ ให้ไปเดินเที่ยวมากมาย เรียกว่าคุ้มค่าเดินขึ้นและเดินเที่ยว
สิ่งต่างๆ ที่ว่ามาทำให้ภูเขาลูกนี้ทำหน้าที่มอบความรักธรรมชาติ ความซึมซับความงามทั้งจากธรรมชาติ และมิตรภาพระหว่างทาง รวมถึงการเรียนรู้ที่บังเกิดขึ้นมากมายระหว่างความอดทนเดินขึ้น สถานที่แบบนี้ในประเทศไทยมีที่เดียวคือ “ภูกระดึง” ส่วนที่อื่นๆ ก็มีถนนขึ้นถึง หรือ เดินไกลเกินไป เดินไปถึงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก
ดังนั้น เมื่อมีกระเช้า ความท้าทายให้ไปถึงเรื่องที่ว่ามาย่อมสู้ความสบายเย้ายวนของการขึ้นกระเช้าไม่ได้ มีคนเดินขึ้นก็คงมีน้อยกว่า พวกที่จะเลือกเดินก็เป็นคนที่รักธรรมชาติมากมายอยู่แล้ว คนที่ขึ้นกระเช้าไปก็ไม่ได้ซึมซับอะไร ขึ้นไปก็เหมือนขับรถขึ้นภูเรือ ดอยอินทนนท์ หรือภูเขาอื่นๆ ที่กลับมาก็ไม่มีความหมายอะไร
ภูกระดึงทำหน้าที่นี้ให้ประเทศไทยมากว่าห้าสิบปี ตั้งแต่รุ่นปู่ จนถึงปัจจุบัน การมีกระเช้าหมายถึงเราเลิกใช้ฟังก์ชั่นนี้ของภูกระดึงแล้ว จะเทียบไปคงเหมือนเปลี่ยนวัด โบสถ์ วิหาร เป็นบอร์ดนิทรรศการพุทธศาสนา นี่คือเรื่องที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจจะเลือกทิ้งคุณค่าเรื่องนี้หรือไม่
ระดับที่ 2 จากผลการศึกษาและการออกแบบระบบกระเช้า คาดว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย (เช่นตัดต้นไม้ไม่กี่ต้น) แต่ผลที่ตามมาหลังจากมีกระเช้ายังไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่น
เมื่อคนจำนวนมากขึ้นไปข้างบนแล้ว จะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมแน่ๆ เช่น อาคารกลางแหล่งธรรมชาติ ที่สำคัญคือ ถนนหนทางข้างบนที่ต้องรองรับผู้มาเยือนที่ไม่เตรียมตัวไป “เดิน” และไม่พร้อมจะรับรู้ทั้งนั้นว่าทำไมไม่มีรถวิ่งไปชมที่ท่องเที่ยวที่ห่างจากสถานีกระเช้าหลายกิโลเมตรในแต่ละที่ รวมถึงการจำกัดคนค้างแรม การจัดการขยะ ต่างๆ
ภายใต้สถานภาพความเป็นอุทยานแห่งชาติ ที่มีข้อจำกัดเรื่องกฎหมาย กำลังคน งบประมาณในการดูแลให้คงสภาพธรรมชาติ
เราพร้อมจะปล่อยให้ที่สวยๆ ข้างบนพังไปอีกที่ใช่หรือไม่
ระดับที่ 3 ถ้ามีคนขึ้นไปมากๆ จริงๆ แล้ว เราพร้อมจะเปลี่ยนพื้นที่อนุรักษ์ที่เป็นธรรมชาติ ไปรองรับการบริการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ กลายเป็น เมืองท่องเที่ยวข้างบนไปเลยในอนาคต ไปเลยไหม
หากนโยบายวันข้างหน้าจะเอาอย่างนั้น ยกเลิกอุทยานไปเลย
นี่คือเรื่องที่ต้องตัดสินใจตามกระเช้ามาในระดับท้ายสุด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี