กำลังจะปิดสมัยประชุมสภา สมัยแรกของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ 2 ในอีกไม่กี่วันนี้ ถือได้ว่าพลเอกประยุทธ์กำลังจะผ่านการบริหารประเทศภายใต้สภาผู้แทนราษฎรในยกแรกไปแบบชิลๆ ทั้งการคุมเกม สส. ในซีกรัฐบาลเองที่อาจมีปัญหามาทดสอบบ้าง แต่ก็นับว่าไม่เท่าไร เหตุเพราะแกนนำพรรคฝ่ายค้านตัวจริงจากทั้งสองพรรคไม่ได้เข้ามาคุมเกมในสภาฯ เองด้วย ในขณะเดียวกัน ซีก สส. ฝ่ายค้านกลับเกิดการปะทะกันเองในช่วงท้ายสมัย ทั้งกรณีความคลางแคลงของพรรคอนาคตใหม่ต่อเพื่อไทยประเด็นยุบพรรคและกรณี สส. เพื่อไทยวางมวยกันเองเมื่อวันก่อนจากประเด็นกรรมาธิการฯ ที่ขัดแย้งกัน ทำให้หลายฝ่ายเริ่มประเมินและเห็นแววว่ารัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ดูมีแนวโน้มสูงที่จะอยู่ยาวครบเทอมได้ไม่ยาก
ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่ดูจะมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทิศทางในสภาฯ ที่เริ่มคุมเกมการเมืองได้ ทั้งในครม. และในรัฐบาลได้อยู่หมัด รวมถึงสามารถควบคุมพรรคเล็กได้มากขึ้น ไม่มีปัญหางอแงอย่างที่ผ่านมา รวมถึงกำลังจะติดเครื่องด้วยเครื่องมือต่างๆ ที่เริ่มนำมาใช้ ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ และแพ็กเกจเศรษฐกิจสามพรรคได้แก่ พรรคพลังประชารัฐประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ที่จะเริ่มใช้ในปีงบประมาณ’63 เริ่มตั้งแต่ตุลาคมนี้ หลังมีการปูทางวางไว้ก่อนหน้าแล้ว ทำให้ฝ่ายค้านต้องพลิกเกมไปเล่นเกมท้องถิ่นและเริ่มลงพื้นที่มากขึ้น ด้วยการประกาศลุยการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ นำโดยพรรคเพื่อไทยที่ถือเป็นการคุมเองโดยคุณหญิงสุดารัตน์ที่ว่างเว้นจากงานสภาฯ ในรอบนี้ และอนาคตใหม่ ที่หลายฝ่ายมองว่าเป้าหมายหลักคือพื้นที่ กทม.
สนามกทม. ที่เคยเป็นของตายสำหรับสองพรรคคือพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทย รอบนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้วเพราะคู่แข่งใหม่อย่างพรรคอนาคตใหม่และพลังประชารัฐ ประกาศส่งแบบครบทีมทุกตำแหน่งและทุกเขต ด้วยกระแสการเมืองระดับประเทศยังไม่จาง ยิ่งทำให้พื้นที่กทม.แข่งขันกันดุเดือดมากขึ้น ทั้งผู้ว่าฯกทม. และสก. ชนิดที่ว่าไม่สามารถกะพริบตาแยกรายเขตได้
ส่วนตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. ที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในปีนี้หรือต้นปีหน้านั้น ดูเหมือนสนามนี้จะเริ่มลุกเป็นไฟ หลังพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างเริ่มปล่อยกระแสแคนดิเดต คนดังต่างๆ เพื่อหยั่งเสียงประชาชน โดยในฝั่งรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐมีกระแสข่าวว่าวางตัว พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. คนปัจจุบันที่แม้มาจากการแต่งตั้งจากคสช. แต่ฝีไม้ลายมือที่ผ่านมาก็ยังนับว่าได้ใจคนกรุงเทพฯ ไปได้ไม่น้อยโดยเฉพาะความเด็ดขาดฉับไวในการจัดการปัญหาทางเท้าตลอดจนการจัดระเบียบพื้นที่ต่างๆในกทม. ในขณะที่ก็มีกระแสที่จะเอาคนรุ่นใหม่ที่เป็นรองผู้ว่าฯคนปัจจุบันอย่างรองจั๊ม-สกลธี ภัททิยกุล ที่มีผลงานโดดเด่นในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็อาจจะเป็นแคนดิเดตอีก 1 คน แต่ถ้าหากดูท่าทีล่าสุดของพรรคพลังประชารัฐ จากคำสัมภาษณ์ของนายพุทธิพงษ์ ก็อาจจะได้เห็นรัฐมนตรีบางท่านลาออก เพื่อลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็เป็นได้?
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เองในฐานะแชมป์เก่าสี่สมัยติดต่อกันทั้งผู้ว่าฯกทม. และสก. ก็ต้องยอมรับว่าครั้งนี้งานหนักที่สุด ทั้งจากกรณีสก. ย้ายพรรคไปลงเป็นผู้สมัคร สส.พลังประชารัฐมากมาย และก็ยังมีทีท่าจะไหลออกอย่างต่อเนื่องแต่สถานการณ์ปัจจุบันก็มีปรากฏชื่อคนดังเข้ามาจ่อลงผู้ว่าฯ ให้กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ทั้งมาดามแป้ง หรือนวลพรรณ ล่ำซำและนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม. ขึ้นมา ให้เห็น ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปว่าพรรคประชาธิปัตย์จะส่งใครลง เพราะแน่นอนว่ายังเหลือเวลาให้ตัดสินใจอีก ส่วนทางพรรคเพื่อไทยที่แต่เดิมค่อนข้างแน่ชัดว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะเป็นแคนดิเดตลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันกลับไม่แน่นอนเสียแล้ว
เมื่อที่ผ่านมาการประชุมใหม่วิสามัญเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ของพรรคเพื่อไทย นายชัชชาติก็ไม่ได้เข้าร่วม รวมถึงมีกระแสข่าวว่านายชัชชาติจะหันไปลงสมัครในนามอิสระแทน? จากการเดินสายพบปะผู้สนับสนุนและบุคคลสำคัญในรัฐบาลเพื่อขอให้สนับสนุนตัวเอง? ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไร? ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่ หลายฝ่ายต่างจับตามองว่านายธนาธรจะกระโดดมาเล่นการเมืองท้องถิ่นก็อาจเป็นทางออกที่ดีในช่วงที่ไม่สามารถเข้าไปในสภารอบนี้ได้ และถ้านายธนาธรลงชิงผู้ว่าฯกทม. จริง มีลุ้นแน่นอน แต่ก็น่าสนใจว่าในระหว่างนี้นายธนาธรอยู่ระหว่างพิจารณาในหลายคดี ซึ่งบางคดีร้ายแรงถึงขั้นมีการยุบพรรคหรือไม่? และการออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้อาจจะส่งผลดีร้ายอย่างไรต่อพรรคอนาคตใหม่อย่างไร?
สนามกทม. นับเป็นการเลือกตั้งที่เป็นสีสันทุกครั้ง แต่ ณ ขณะนี้หากถามประชาชนในพื้นที่ถึงปัญหาที่ต้องการให้แก้ไข ก็จะขึ้นชื่อของปัญหาการจราจร อุบัติเหตุ ค่าครองชีพ
และราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยอ้างอิงจากผลสำรวจของซูเปอร์โพล ที่ได้มีการเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าพรรคการเมืองใดที่มีจุดยืน หรือนโยบายที่สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ นอกจากกระแสทางการเมืองที่มักจะกลายเป็นประเด็นตัดสินใจหลักของชาวกทม.มากกว่า นอกจากนั้นหลายฝ่ายยังคาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่พรรคการเมืองหลักทั้ง 4 พรรคจะจับมือเป็น 2 ขั้ว ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทยกับอนาคตใหม่ ที่อาจประสานพลังกันเพื่อให้ฝ่ายตัวเองชนะในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ นี้แต่อย่างไรก็ตามต้องอย่าลืมว่าบริบททางการเมืองของกรุงเทพฯมีความซับซ้อนมากกว่าสนามไหนๆ การคาดการณ์ต่างๆ อาจไม่เกิดขึ้น และอาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่วาดไว้ และสิ่งที่จะเกิดผลดีกับประชาชนในพื้นที่มากที่สุด ก็คือผู้ว่าฯ ที่มีอำนาจเต็ม และสามารถกระจายอำนาจในกทม.ได้ใช่หรือไม่?
อีกมุมหนึ่งของหน้าการเมืองไทย ข่าวคราวการยกฟ้องคดีบ.ไร่ส้ม ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และการปล่อยตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล หลายฝ่ายต่างก็ตั้งข้อสังเกตว่ามีนัยอะไรหรือไม่? ท่ามกลางสงครามข่าวสารในยุคนี้นั้น เพราะภาพของทั้งสองในอดีตเคยเป็นตัวแทนต่างขั้วของความคิดคนในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีท้ายๆ ของรัฐบาลทักษิณที่มีอิทธิพลกับความรู้สึกของประชาชนอย่างมาก ซึ่งจุดสิ้นสุดของทั้งคู่ก็คือนายสนธิ โดนคดีติดคุก ส่วนนายสรยุทธโดนคดีไร่ส้ม โดยในช่วงที่ผ่านมาทั้งคู่ก็เลือนหายไปและไม่มีส่วนร่วมใดๆ กับแวดวงสื่อมวลชนในยุครัฐบาลประยุทธ์ 1 ซึ่งนี่เองอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ 1 ยังสามารถประคองอยู่ได้ เพราะสื่อหลักที่ถูกมองว่าอยู่ด้านตรงข้ามไม่อยู่แล้ว? แต่อย่างไรก็ตามการขาดหายไปของสองคนนี้ ก็ทำให้เกิดสื่อใหม่ที่มาเป็นสื่อในใจของขั้วตรงข้ามกันทางการเมืองในภายหลัง ซึ่งก็คือสื่อสองเครือยักษ์ใหญ่ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นมาแล้ว เพียงแต่ในทีนี้การขัดแย้งไม่ใช่มีปัญหาต่อกัน แต่ด้วยความเป็นสื่อที่มีทิศทางในการนำเสนอข่าวที่ตรงข้ามกัน ทั้งสองจึงดูเสมือนเป็นตัวแทนของสื่อที่นำเสนอข่าวสารในมุมมองตรงข้ามกัน ผนวกกับการเข้ามาของโซเชียลมีเดียที่มามีอิทธิพลต่อประชาชนมากขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล และเลือกเสพข่าวสารที่ตรงจริตของตัวเองได้ง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้สื่อทั้งสองจึงถือเป็นสื่อหลักที่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนและจูงใจประชาชนได้ ซึ่งสิ่งลักษณะดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยของนายสรยุทธ และนายสนธิ ทำให้ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าเมื่อทั้งสองเริ่มจะได้เป็นอิสรภาพแล้ว จะมีการเคลื่อนไหวใดๆที่จะสั่นสะเทือนวงการการเมืองอีกหรือไม่?
“...น้ำตาความจริงมีรสเค็มแต่มีน้ำตาบางประเภท ที่จำต้องปล่อยให้ไหลอยู่ในอก
นั่นมิเพียงเค็มเท่านั้น ยังขมขื่นอีกด้วย…” โกวเล้ง จากเรื่องฤทธิ์มีดสั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี