10 กันยายน ที่ผ่านมา ครม.ประยุทธ์มีมติลดหย่อนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากที่กำหนดในกฎหมาย 10% ของมูลค่าสินค้า เหลือเพียง 7% ของมูลค่าสินค้า ออกไปอีกเป็นเวลาหนึ่งปี ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563
ในปี 2535 นับเป็นเวลาถึง 27 ปี ที่ประเทศไทยประกาศใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT แต่ได้ลดอัตราลง 3% ตลอดอายุของการจัดเก็บ VAT
การลดอัตราภาษี VAT ในครั้งนี้ คงจะเป็นที่เข้าใจกันได้ว่ารัฐบาลประยุทธ์ โดยทีมเศรษฐกิจที่มีรองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และรัฐมนตรีอุตตมสาวนายน คงจะมีเจตนาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าตามแนวถนัดของทีมเศรษฐกิจชุดนี้ ที่ใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจ ลด แลก แจก แถม ให้ประชาชนนำเงินออกจับจ่ายใช้สอย
แต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการลดภาษี VAT ของไทยตลอด 27 ปี ดูจะเป็นสิ่งปกติที่ไม่ปกติ เพราะได้กระทำต่อเนื่องยาวนานถึง 27 ปี
หากรัฐบาลจะได้ลดถึงปัญหาที่จะเกิดในอนาคตของไทย คือ “สังคมสูงวัย” ที่จะมีสัดส่วนของผู้สูงอายุจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ หรือมากกว่า 20 ล้านคน ในอีก 10 ปีเศษ สัดส่วนคนวัยทำงานจะน้อยลง สัดส่วนของเด็กเกิดใหม่ยิ่งจะน้อยลง
และเด็กที่เกิดจำนวนไม่น้อยจะเกิดกับ “คนท้องที่ไม่พร้อม” ส่วน “คนพร้อมไม่ค่อยจะท้อง”
รัฐจึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้คนวัยทำงาน หรือคนที่มีรายได้จะต้องเก็บออมไว้ใช้ในยามชราที่ต้องหยุดทำงาน เป็นการออมเงินของเขาเองไว้ใช้ จะหวังพึ่งสวัสดิการของรัฐคงจะไม่ทั่วถึง ไม่พอเพียง และไม่ยั่งยืน ในสมัยปัจจุบันนี้จะหวังพึ่งลูกก็ไม่ค่อยจะได้
แนวนโยบายกระตุ้น ยุยง ให้คนใช้จ่ายเงินและเป็นหนี้สินจึงเป็นสิ่งที่สวนทางกับการสร้างระบบการออมของประชาชนที่จะแก้ปัญหา “สังคมสูงวัย”ในอนาคต
ดังนั้น หากรัฐบาลแทนที่จะลดภาษี VAT 3% ในครั้งนี้ แต่เก็บ VAT ในอัตราตามกฎหมาย คือ 10% แต่นำ 3% ที่เก็บได้เพิ่มขึ้นเป็นเงินออมของผู้บริโภคแต่ละคน ไปรวมไว้ในกองทุน เพื่อนำไปสร้างประโยชน์ให้ออกดอก ออกผล สูงมากขึ้น
VAT 3% ที่เก็บจะสามารถบันทึกชื่อผู้บริโภคที่จ่าย เป็นรายบุคคลในทุกครั้งที่จ่ายได้ เพราะบัตรประจำตัวประชาชนมีเลข 13 หลัก มีแถบแม่เหล็กหรือมีชิพที่สามารถบันทึกชื่อผู้จ่ายได้อยู่แล้ว เงินนี้จึงสามารถระบุเป็นเงินออมของแต่ละคนได้
รัฐสามารถรวบรวมเงินในชื่อของแต่ละบุคคล ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชราที่ได้จ่าย 3% สะสมตลอดมา จ่ายคืนผู้ที่จ่ายสะสมพร้อมทั้งดอกผลที่รัฐได้นำไปลงทุน ซึ่งน่าจะได้มากกว่า 2-3 เท่าของจำนวนเงินออม ทั้งนี้เพราะระยะเวลาที่นำเงินออมนี้ไปลงทุนยาวนาน
วิธีนี้จึงเป็นวิธีบังคับออม (Force Saving) วิธีหนึ่งที่ช่วยให้ประชาชนทุกคนมีเงินออม และทยอยได้รับเงินคืนเป็นรายเดือน ไว้ใช้ในยามชราที่หยุดการทำงาน
รัฐบาลก็สามารถจะเติมเงิน เพิ่มเงินเป็นสวัสดิการให้แก่ผู้มีรายได้น้อย เพราะผู้มีรายได้น้อยจะใช้จ่ายน้อย จำนวน 3% ของมูลค่าที่ใช้จ่ายโดยรวมจะต่ำก็สะท้อนความยากจนที่มีเงินออมในระบบต่ำ รัฐก็สามารถเติมเงินสวัสดิการช่วยเหลือเป็นรายบุคคลได้ตรงตัว โดยไม่ต้องให้ประชาชนมาจดทะเบียนคนจน ซึ่งอาจจะจนจริงหรือบางรายอาจไม่จนจริง และรัฐก็ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานคัดกรองอีกด้วย
ในการนี้รัฐบาลยังสามารถเก็บภาษี VAT 7% ส่วนที่จะนำไปใช้เข้าคลังได้มากขึ้น เพราะประชาชนผู้จ่ายภาษีจะเฝ้าติดตามการบันทึกจำนวนภาษีและชื่อของตนกับผู้ค้า
ร้านค้าและผู้ค้าขายจะต้องรีบเร่งเข้าสู่ระบบดิจิทัล ในการบันทึกรายการซื้อขายด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถตรวจสอบได้ แล้วยังเป็นการเอื้ออำนวยให้เกิดการจ่ายเงินชำระสินค้าแบบไร้เงินสด แต่ใช้การโอนเงินด้วย QR CODE หรือ BARCODE ได้ง่ายอีกด้วย จึงเป็นการลดต้นทุนการใช้เงินสด ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเคยคำนวณไว้ว่าประเทศไทยจะประหยัดค่าจัดพิมพ์ธนบัตร กระจายธนบัตร ขนส่งธนบัตร จัดเก็บธนบัตรที่เสื่อมคุณภาพ และต้องสร้างระบบคุ้มกันความปลอดภัยการใช้ธนบัตรถึงปีละ 50,000 ล้านบาท หรือครั้งละประมาณ 1.40 บาท
ของธนบัตรแต่ละใบที่ประชาชนใช้จ่ายในแต่ละครั้ง อีกด้วย
บังคับออมร่วมกับภาษี VAT
แนวคิดข้างต้น จึงเป็นแนวคิดที่รัฐจัดเก็บภาษีเพื่อการออม ร่วมไปกับ VAT ในปัจจุบัน โดยเก็บ VAT ในอัตรา 10% ตามกฎหมาย แต่กันเงิน 3% เป็นเงินออมที่ระบุชื่อของผู้จ่ายด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำได้
ขอยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
สมมุติ นายเชี่ยวชาญ ชีวิต เกิดเมื่อปี 2560 และจะหยุดทำงานในปี 2625 หรือเมื่ออายุ 65 ปี ในช่วง 65 ปี นายเชี่ยวชาญได้จับจ่ายใช้สอยทุก100 บาท เขาจะจ่ายภาษีการออม 3 บาท ฝากรัฐไว้ก่อน ถ้าเขาจับจ่ายใช้สอยเฉลี่ยนับตั้งแต่เด็ก ที่รายได้น้อยใช้น้อย จนถึงอายุมากขึ้น มีรายได้มากใช้มากขึ้น สมมุติว่า บริโภคเฉลี่ยเดือนละ 2 หมื่นบาท
แสดงว่าทุกเดือน เขามีเงินออมเฉลี่ย 600 บาท (3% ของเงินบริโภค 2 หมื่นบาท) หรือปีละ 7,200 บาท
คำนวณจนถึงอายุ 65 ปี เขาจะมีเงินออม (65*7,200) = ประมาณ 500,000 บาท ที่ฝากไว้กับรัฐบาล
รัฐบาลอาจเติมเงินออกดอกผลให้อีก 2 เท่าตัว เพราะเอาเงินเขาไปลงทุน 65 ปี (ปีหนึ่งๆ มากบ้างน้อยบ้าง)
สมมุติว่ารัฐบาลเติมให้อีก 2 เท่า คือ ประมาณ 1 ล้านบาท
รวมทั้งหมดเป็นเงินประมาณ 1.5 ล้านบาท
หากรัฐจะทยอยจ่ายคืนให้ใน 15 ปี ก็จะได้ปีละ 100,000 บาท เดือนละประมาณ 8,333 บาท ถ้าเสียชีวิตก่อน ก็ตกเป็นมรดกให้กับลูกหลานได้ต่อไป
นี่คือตัวอย่างรูปธรรมของการสร้างระบบออมเงินภาคบังคับ ผ่านภาษีการออมที่ 3% และเงินที่ใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 2 หมื่นบาท ถ้าจะเพิ่มหรือลด ก็สามารถคำนวณดูได้
ตามแนวทางข้างต้น คนรวยที่มีรายได้ดี ก็มีการจับจ่ายใช้สอยสูง ย่อมจะมีเงินภาษีการออมสะสมมาก ทำให้ได้รับเงินคืนสูงกว่า
ตามกลไกปกติก็เป็นเช่นนั้น เพราะในความจริงเงินที่รัฐเก็บไป ก็เป็นเงินของเขาเองที่จ่ายไปให้รัฐใส่กองทุนมากกว่า ก็เงินของเขา เขาก็ได้มากกว่า เป็นเรื่องปกติ
แต่รัฐก็มีหนทางที่จะลดความเหลื่อมล้ำได้ โดยเงินที่รัฐจะเติมให้เป็นสวัสดิการพิเศษให้กับคนมีรายได้น้อยใช้จ่ายน้อยก็ได้ ยิ่งกว่านั้น
ตลอดช่วงชีวิต ประชาชนยังสามารถเช็คยอดเงินที่ตนเองออมไว้แล้วในช่วงเวลาใดได้อีกด้วย
แนวคิดนี้ จึงสามารถทำได้จริง ภายใต้ระบบเทคโนโลยีปัจจุบัน และยังประโยชน์ระยะยาวทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม เกิดผลลัพธ์รูปธรรมจับต้องได้ตั้งแต่เริ่มดำเนินการเลยทีเดียว
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี