ทันทีที่ กกต. เคาะวันพุธที่ 23 ตุลาคม เป็นวันเลือกตั้งซ่อม สส. นครปฐม เขต 5 บรรดาพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครลงแข่งก็เร่งเดินสายหาเสียงกันอย่างดุเดือด โดยในสนามนครปฐมนี้เองหากมองจากคะแนนเสียงของผู้สมัครสังกัดต่างๆ ในครั้งก่อนแล้ว น่าสนใจว่าจะเป็นการชิงชัยกันระหว่าง 3 พรรคการเมือง อย่าง พรรคประชาธิปัตย์อนาคตใหม่ และชาติไทยพัฒนา ที่เป็นตัวแทนจากขั้วรัฐบาล 2 พรรค และจากฝ่ายค้าน 1 พรรค โดยไร้เงาของตัวเอกของแต่ละขั้วอย่างพรรคพลังประชารัฐ และเพื่อไทย
ซึ่งแม้ทั้งสองพรรคต่างให้เหตุผลที่ไม่ส่งผู้สมัครลงแข่งขันแตกต่างกัน แต่ก็มีความคล้ายกันในจุดมุ่งหมายอย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นการอ้างเรื่องของมารยาททางการเมืองของฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลหรือการส่งสัญญาณหลบให้ด้วยความเต็มใจของพรรคฝ่ายค้าน แต่ด้วยภาพการเดินเกมเช่นนี้ของฝ่ายค้าน ทำให้เหล่านักวิเคราะห์ต่างก็ประหลาดใจ ที่ฝ่ายค้านเดินเกมแตกต่างจากเดิม โดยมักจะใช้วาทกรรม
การฮั้วเลือกตั้งโจมตีรัฐบาลเสมอ แต่ในครั้งนี้เหตุใดจึงส่งหนึ่งพรรคไม่ส่งอีกหนึ่งพรรค ผิดวิสัยพรรคเพื่อไทยหรือไม่?
ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนาส่งผู้สมัครลงชิงชัยในสนามนี้ เมื่อมองดูบริบทรอบข้างแล้ว ก็พอเข้าใจได้ว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้สิทธิเป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาลส่งผู้สมัครอย่างนายสุรชัย อนุตธโต ลงแข่งขันชิงชัย เพราะถือเป็นผู้ที่ได้คะแนนเสียงสูงที่สุดในมุมของฝ่ายรัฐบาล เป็นรองเพียงนางจุมพิตา จันทรขจร ผู้ชนะในการเลือกตั้งที่ผ่านมาเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขการชิงชัย สส. เขตเพื่อเป็นแต้มต่อในสภาฯ ก็ดูจะไม่ใช่เหตุผลเดียวเสียแล้ว เมื่อพรรคชาติไทยพัฒนาเองก็แสดงความประสงค์หมายจะเอาชนะเขตด้วยเช่นกัน ด้วยการส่งตัวแทนจากตระกูลสะสมทรัพย์อย่างนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ เข้าชิงพื้นที่เขตซึ่งหากจะว่ากันแล้ว ตัวของนายเผดิมชัยนั้น ถือเป็น สส. ที่ยืนระยะในพื้นที่มาได้อย่างยาวนาน ไม่ว่าจะอยู่สังกัดพรรคใด แต่ในการเลือกตั้งที่ผ่านมากลับพ่ายแพ้ผู้สมัครจากพรรคอื่นอย่างหมดรูป ด้วยเหตุนี้หลายฝ่ายจึงมองว่าเรื่องของศักดิ์ศรีเองก็เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา และดูจะสร้างสีสันในสนามเลือกตั้งนครปฐมนี้ไม่น้อยใช่หรือไม่?
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ และแสดงถึงความเป็นไปได้ที่สนามนี้จะส่อแววเดือด ก็คือเรื่องของเหตุและปัจจัยของวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน นอกเหนือจากการได้ สส. เพิ่มเพียงอย่างเดียว เพราะแม้จะเป็นเพียงการเลือกตั้งซ่อมแต่ก็ไม่ต่างกับการวัดฐานเสียงของประชาชนระหว่างฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลกลายๆ และปัจจัยรอบข้างค่อนข้างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการหดหายของกระแสช่วงที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบพรรค กระแสนายธนาธรที่อาจไม่เปรี้ยงเหมือนช่วงเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมาหรือไม่ หรือการที่จัดวันเลือกตั้งซ่อมในวันหยุดกลางสัปดาห์ ซึ่งผู้ที่จะมาใช้สิทธิ์ก็น่าจะมีแต่คนนครปฐมที่อยู่ในจังหวัด ไม่น่าจะมีคนนครปฐมที่ทำงานอยู่ต่างถิ่นหรือที่เข้ามาทำงานกรุงเทพฯ ซึ่งน่าสนใจว่าฐานของคนในพื้นที่จริงๆ ในรอบนี้จะเลือกใคร?
นอกจากสนามนครปฐม ที่เป็นสนามแรกของการเลือกตั้งซ่อมแล้ว ยังอาจมีอีก 3 พื้นที่ที่จะเกิดการเลือกตั้งซ่อมขึ้นตาม อย่างสมุทรปราการ เขต 5 ที่ กกต. ทำการแจกใบเหลืองแก่ สส. จากพรรคพลังประชารัฐ หรือกำแพงเพชร เขต 2 หลัง พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ สส. พรรคพลังประชารัฐต้องพ้นจากสมาชิกภาพ สส. เมื่อศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ในคดีบุกล้มการประชุมอาเซียน? และยังมีขอนแก่น เขต 7 จากกรณีที่นายนวัธ เตาะเจริญสุข สส.จากพรรคเพื่อไทย จะถูกตัดสินพ้นจากความเป็น สส. หลังศาลจังหวัดขอนแก่น พิพากษาให้ประหารชีวิต ในคดีจ้างวานฆ่าปลัด อบจ.ขอนแก่น ซึ่งก็อาจจะเป็นอีกเขตที่ต้องเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ทั้งหมดยังคงต้องรอดู กกต. ว่าจะพิจารณาสุดท้ายอย่างไรและหากจะจัดให้มีการเลือกตั้งจริง จะกระทำเมื่อใด
แต่อย่างไรก็ตามหากฝ่ายค้านเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งซ่อมแต่ละพื้นที่ แต่หากไม่มีปัจจัยอื่นๆ มาเสริมเพิ่ม การพลิกขั้วรัฐบาลย่อมไม่เกิดขึ้นง่ายๆ ด้วยเสียง สส. เพียง 2-3 เสียง กลับกันขั้วฝ่ายค้านเองก็น่าจะกำลังเผชิญวิกฤติ อย่างที่หลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ถึงกรณีของนายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกคดีต่างๆ บีบรัดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการถือหุ้นสื่อ การปล่อยเงินกว่า 191 ล้าน ให้พรรคอนาคตใหม่กู้ หรือกรณีใหม่ล่าสุดที่ถูกนายสัตวแพทย์ธีทัชฐ์ เกียรติลดารมย์ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ จากจากกรณีที่ไม่ระงับยับยั้งการกระทำของ นางสาวพรรณิการ์ที่อาจเข้าข่ายดูหมิ่นรัฐธรรมนูญหรือไม่?
ซึ่งหากฟังเสียงนักวิเคราะห์ ก็น่าติดตามว่าเดือนตุลาคมนี้ จะเป็นการชี้ชะตานายธนาธร ถึงบทสรุปของกรณีต่างๆ ข้างต้น อย่างไรก็ดี หากนับตั้งแต่นายธนาธรก้าวเข้าสู่วงการการเมืองอย่างเต็มตัวด้วยการแสดงจุดยืนของคนรุ่นใหม่ แต่เมื่อพิจารณาการกระทำหลังจากนั้นดูจะมีความประมาทอยู่ไม่น้อย? ไม่ว่าจะเป็นการถือหุ้นสื่อเข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค? หรือการปล่อยเงินกู้ให้แก่พรรคตัวเอง? รวมถึงการไม่ได้นำทรัพย์สินเข้าสู่บลายด์ ทรัสต์ ตามที่ได้กล่าวไว้? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีบทลงโทษทางกฎหมายหรือไม่ก็บทลงโทษทางสังคม แต่หลายฝ่ายเองก็มองว่านายธนาธรกลับใช้วิธีให้กระแสสังคมกดดันกระบวนการยุติธรรม ทั้งที่การกระทำดังกล่าวล้วนเป็นความผิดพลาดส่วนบุคคลเอง และลืมนึกไปว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นจะกลับกลายมาเป็นช่องโหว่ให้เกิดการใช้เครื่องมือทางกฎหมายมาจัดการใช่หรือไม่?
มีประเด็นหนึ่งที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันตอนนี้ จากข้อเสนอทางวิชาการของนักกฎหมายอย่าง คุณเสรี สุวรรณภานนท์ประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ที่ออกมาแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊คต่อประเด็น เงินกู้ยืม ไม่ถือเป็นเงินได้นั้น ว่าในทางธุรกิจอาจใช่ แต่ในส่วนพรรคการเมือง อาจารย์มองว่าหากมีการกู้ยืมเงิน เงินที่ได้มาไม่ใช่เงินได้จากธุรกิจการค้า แต่เป็นเงินหรือประโยชน์อื่นใดที่พรรคการเมืองได้มา เมื่อนำมาใช้จ่ายในกิจกรรมของพรรคการเมือง เงินได้ดังกล่าวจึงเป็นรายได้ของพรรคการเมือง ตามพรป.พรรคการเมือง มาตรา 62 และตามหมวด 5 ของรายได้พรรคการเมืองดังนั้นเงินที่พรรคการเมืองไปกู้มา จึงอาจถูกมองว่าเป็นรายได้ ของพรรคการเมืองที่ต้องถูกควบคุมตามกฎหมายหรือไม่นอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อสงสัยในสัญญากู้ยืมเงิน จึงเกิดประเด็นว่าการให้พรรคกู้เงินแล้วบอกไม่เป็นรายได้ ก็จะกลายเป็นการได้เงินเข้าพรรคโดยไม่มีจำนวนจำกัด และไม่ถูกตรวจสอบ หรือไม่
ส่วนปลายทางของคดีอาจเกิดขึ้นได้หลายแนวทางที่ยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะรอดหรือไม่รอด โดยหากไม่รอดก็ยังเกิดความเป็นไปได้อีกหลายทาง เช่น หากเกิดการยุบพรรคอนาคตใหม่ขึ้นจริงก็เป็นเรื่องหนึ่ง หรือหากไม่ยุบแต่มีการลงโทษตัดสิทธิเฉพาะกรรมการบริหารพรรคที่ส่วนใหญ่เป็นสส.บัญชีรายชื่อ อย่างนายปิยบุตร และนางสาวพรรณิการ์อาจต้องหลุดจากสภาพความเป็นสมาชิกสภาฯหรือไม่ ในขณะที่สส.แบบเขตยังอยู่ แต่ผลแบบนี้นั้นอาจทำให้เกิดพื้นที่ว่างของ สส.บัญชีรายชื่อเพิ่มอีกไม่น้อย ที่จะกระจายไปทุกพรรค และหนึ่งในคนที่กำลังรอคอยคือคุณหญิงสุดารัตน์ บัญชีรายชื่อจากพรรคเพื่อไทย ที่อาจเข้ามาได้รอบนี้หรือไม่? ที่สุดท้ายแม้จะเปลี่ยนแปลงหรือสั่นคลอนขั้วรัฐบาลไม่ได้ แต่อาจทำให้เกิดอะไรบางอย่างแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ต้องติดตามกันต่อไป
“มนุษย์มีชีวิตอยู่ด้วยการเปลี่ยนแปลง มนุษย์
พ่ายแพ้ต่อชะตากรรมที่ตนเองเลือกเสมอ”
โกวเล้งจากมังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี