เราไม่ได้มี “เรื่องส่วนตัว” ต่อกัน จึงไม่จำเป็นต้องสาปแช่งกันให้ตาย
ข้อความตามภาพ คือ “ความคิดเห็นที่ผมไม่ปรารถนาจะเห็นเลย” เป็นข้อความที่ท่านผู้ชมโพสต์ไว้ ขณะติดตามการถ่ายทอดสดรายการข่าวรายการหนึ่ง เป็นข้อความที่สะท้อนถึงความโกรธ เกลียด และความไม่รู้ 1.พิมพ์ น่า เป็นหน้า 2.พิมพ์ผู้พิพากษา เป็นอัยการ อันนี้คือความไม่รู้ ส่วนความโกรธเกลียดถ่ายทอดผ่านถ้อยคำว่า “จัดฉาก” และ “มันน่าจะยิงหัวนะ จะขอบคุณมากเลย” และ“ตายไปเหอะ”
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีใครตายครับ ไม่ว่าจะโดยสมัครใจ โดยจัดฉาก หรือโดยการตัดสินใจที่จะตาย
ผมเองดีใจมาก ที่นายคณากร เพียรชนะ ไม่ตาย เพราะเขาไม่ควรจะตาย การที่เขาไม่ตายมีข้อดีคือ เราสามารถให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของการ “บอกความจริง” และ “รับผิดชอบ”การกระทำของตัวเขาเองและผู้เกี่ยวข้องได้ โดยทุกฝ่ายรวมถึงตัวเขา ต้องให้คำตอบและรับผิดชอบต่อคำถามต่อไปนี้ (อันจะเป็นความรู้อย่างดีของคนในสังคมด้วย)
1) การพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนเข้าห้องพิจารณาคดี กระทำได้หรือไม่ ต้องกระทำแบบแยกออกจากกัน หรือใส่กระสุนไว้ พร้อมที่จะก่อเหตุต่างๆ ได้เลย
2) การถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ค (Live) ในชุดครุยผู้พิพากษา บริเวณบัลลังก์ศาล ในห้องพิจารณาคดี ทำได้หรือไม่ หากทำไม่ได้ ผู้กระทำคือนายคณากรจะมีความผิดสถานใด
3) การใช้กระดาษตราครุฑ ภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ มาพิมพ์แถลงการณ์ หรือหนังสือชี้แจงส่วนบุคคล ทำได้หรือไม่ หากไม่ได้ ผู้กระทำคือนายคณากรจะมีความผิดสถานใด
4) ปรากฏข้อมูลว่า มีการส่งเอกสารให้แกนนำพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง มาล่วงหน้าก่อนหน้านี้ โดยที่เอกสารดังกล่าว มีการเปิดเผยข้อมูลในคดีบางส่วน พฤติกรรมนี้ กระทำได้หรือไม่ หากไม่ได้ ผู้กระทำคือนายคณากรจะมีความผิดสถานใด และผู้ใดรับเอกสาร จะมีความผิดด้วยหรือไม่
5) การแสดงจุดยืนทางการเมือง ในเชิงสนับสนุนและนิยมชมชอบพรรคการเมืองบางพรรรคของนายคณากร ซึ่งเป็นข้าราชการตุลาการทำได้หรือไม่ เพราะในข้อ 34 ของประมวลจริยธรรมตุลาการดังกล่าว ระบุไว้ว่า
“ผู้พิพากษาจักต้องไม่เป็นกรรมการ สมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง และจักต้องไม่เข้าเป็นตัวกระทำการ ร่วมกระทำการในการสนับสนุนในการโฆษณาหรือชักชวนใดๆ ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาหรือผู้แทนทางการเมืองอื่นใด ทั้งไม่พึงกระทำการใดๆอันเป็นการฝักใฝ่พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใดนอกจากการใช้สิทธิเลือกตั้ง”
6) กรณีเอกสารแถลงการณ์ของนายคณากรอ้างว่ามี “บันทึกลับ” ที่แสดงถึงการก้าวก่าย กดดัน แทรกแซง การทำหน้าที่ผู้พิพากษาในคดีอย่างน้อย 2 คดี อยู่ที่ไหน นายคณากรซึ่งยิงตัวเองแต่ไม่ตาย ต้องรับผิดชอบในข้อเท็จจริงนี้ เพราะหากมีจริง ควรจะต้องนำตัวคนผิดมาลงโทษ และนำไปสู่การหาทาง “ปิดช่องโหว่” ของการแทรกแซงที่ว่า นี่จึงเป็นประเด็นที่ดีที่สุด ที่นายคณากรไม่เสียชีวิต
7) กรณีที่นายคณากรตัดพ้อเรื่องค่าตอบแทน เนื่องจากผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนั้นงานมาก ทั้งต้องเขียนสำนวนนอกเวลาราชการ โดยไม่มีค่าตอบแทนเหมือนบางวิชาชีพ เช่น แพทย์ หากตรวจนอกเวลาก็มีค่าตอบแทนพิเศษ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรพิจารณา เพราะเป็นที่ประจักษ์ว่า ข้าราชการตุลาการในส่วนนี้ งานมากจริงๆ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
8) ส่วนข้อเสนอให้ห้ามมีการตรวจคำพิพากษานั้น เป็นเรื่องที่องค์กรผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณา
ย้ำอีกครั้งว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ “เรื่องส่วนตัว” ระหว่างผู้พิพากษาคนนี้กับเรา แต่เป็นแค่ “ข่าว” หรือ “เหตุการณ์” ที่เกิดขึ้น แล้วสร้างความเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งแทนที่เราจะเอาแต่ด่าทอสาปแช่ง เกิดความโกรธเกลียดชิงชัง ควรยกระดับให้สังคม “เจริญ” ด้วยการตั้งคำถามเชิงสร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่การ “พบความจริง” และ “ลงโทษคนผิด” เป็นสำคัญ นอกเหนือจากนั้นเป็นเรื่องของ “การเรียนรู้” ซึ่งจะนำความงอกงามมาสู่เราทุกคนได้ โดยไม่ฉุดใจเราลงต่ำ ถือสิทธิ์ถือดีที่จะให้คนนั้นคนนี้---อยู่หรือตาย!!
เช่นเดียวกับ นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊คในหัวข้อ “อย่าเอากรณีผู้พิพากษาพยามยิงตัวตาย มาใช้ตีกินทางการเมือง”
โดยมีเนื้อหาว่า “...กรณีการพยายามใช้อาวุธปืนยิงตัวตายในบัลลังก์ขณะพิจารณาคดีของนายคณากร เพียรชนะผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลชั้นต้นจังหวัดยะลา อ้างว่ากดดันถูกแทรงแซงจากผู้บังคับบัญชาชักจะลุกลามบานปลายกันไปใหญ่ ผมเคยเขียนเรื่องนี้ลงเฟซบุ๊คไปก่อนนี้แล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องฟังความให้รอบด้าน รวมทั้งต้องดูรายละเอียดในเนื้อหาคดีทั้งหมดถึงจะสามารถชั่งน้ำหนักได้ว่าฝ่ายไหนถูกผิด ซึ่งเมื่อวานคณะกรรมการตุลาการ(ก.ต.)ซึ่งเป็นหน่วยที่รับผิดชอบได้แต่งตั้งอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้และรายงานให้ก.ต.ทราบภายใน 15 วัน
ท่ามกลางความร้อนแรง หลายฝ่ายก็หยิบยกเอาประเด็นนี้มาวิพากษ์วิจารณ์ขยายวงกว้างไปเป็นประเด็นทางการเมืองและโจมตีกระบวนการยุติธรรมกันอย่างขาดเหตุผล
อย่างกรณีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ประธานกรรมาธิการองค์กรศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการฯ สภาผู้แทนราษฎรออกมาให้ข่าวว่าตนเตรียมเสนอวาระในการประชุมกรรมาธิการในการประชุมวันที่ 17 ตุลาคมนี้ เพื่อพิจารณาแก้ไขพระธรรมนูญศาลยุติธรรมเรื่องห้ามมิให้ตรวจร่างก่อนอ่านคำพิพากษายิ่งเลอะเทอะกันไปใหญ่
อย่าลืมว่าศาลเป็นหนึ่งในอำนาจสามฝ่ายที่ถ่วงดุลกันตามรัฐธรรมนูญ และก็มีอยู่เพียงอำนาจเดียวที่ยังพอเป็นที่พึ่งให้กับสังคมได้ แม้การแก้ไขหรือเสนอกฎหมายจะเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ที่ผ่านมาสภาก็ไม่เคยไปก้าวก่ายกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารคดีของศาล เป็นหน้าที่ของสถาบันศาลที่จะพิจารณาว่าจะปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในส่วนใดบ้าง สภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่เพียงให้ความสะดวกเท่านั้น
ที่สำคัญแนวคิดเรื่องให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี เคยใช้มาแล้วตามรัฐธรรมนูญ 2540 ปรากฏว่ามีข้อบกพร่องเยอะมากมีสถิติว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นถูกกลับและแก้ไขโดยศาลสูงมีมากจนผิดปกติเพราะขาดประสบการณ์ในการพิจารณาคดีความเสียหายจึงตกกับประชาชนหรือคู่ความในคดี จึงมีการแก้ไขกลับมาใช้ระบบตรวจคำพิพากษาแบบเดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมิใช่เป็นการแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาคดีแต่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เกิดความละเอียดรอบคอบถูกต้องมากยิ่งขึ้น
การเสนอให้แก้ไขกฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรมเพื่อให้องค์คณะผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจอย่างอิสระ โดยมิได้ศึกษาข้อมูลและขาดความรู้ความเข้าใจระบบการตรวจสำนวนและร่างคำพิพากษา จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ความเสียหายก็จะตกแก่ประชาชนผู้มีอรรถคดี ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
จึงขอให้นายจิรายุได้เข้าใจในกระบวนการทำหน้าที่ของศาลที่ผ่านมาและบทบาทอำนาจหน้าที่ของตนเองให้ถูกต้อง อย่าใช้ตำแหน่งประธานกรรมาธิการพร่ำเพรื่อโหนกระแสเรื่องนี้เป็นประเด็นการเมืองก้าวก่ายการทำงานของศาลหรือตีกินโจมตีกระบวนการยุติธรรมว่าสองมาตรฐานเหมือนที่เคยทำมาในอดีต
ด้าน นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีผู้พิพากษายิงตัวเองในศาลจังหวัดยะลา ว่า ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ศาลยุติธรรมจะต้องดำเนินการหาข้อเท็จจริงกันต่อไป เป็นเรื่องขององค์กรที่มีขั้นตอนกระบวนการอยู่แล้ว การลงพื้นที่เก็บข้อมูลของเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะข้อมูลทั้งหมดก็จะมีการหยิบยกไปพูดคุยกันในคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม(ก.ต.)ทุกอย่างก็เกิดความชัดเจนในข้อมูลทุกฝ่าย ควรปล่อยให้เป็นเรื่องผู้มีอำนาจหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการ
“แต่ที่สำคัญ พรรคการเมืองและนักการเมือง อย่าหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาเป็นประเด็นทางการเมืองโดยมีเจตนาให้เกิดความเสียหายและทำลายความน่าเชื่อถือกับอำนาจตุลาการ ที่ผ่านมา ต้องยอมรับความจริงว่าองค์กรตุลาการเป็นองค์กรที่เป็นหลักให้กับบ้านเมืองมาโดยตลอด มีระบบอย่างชัดเจน หากมีสิ่งใดที่ต้องดำเนินการปรับปรุง หรือว่าแก้ไขก็ให้เกิดขึ้นโดยจิตบริสุทธิ์ที่มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศ ก็ไม่ควรตั้งต้นพูดโดยจิตที่คิดร้าย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการคิดโดยมีอคติ การแก้ไขปัญหาก็จะไม่ตรงจุด ในฐานะนักกฎหมายที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมยังเชื่อว่ากระบวนการของความเห็นต่างของผู้พิพากษาที่นำไปสู่การทำความเห็นแย้งนั้นคู่ความทุกฝ่ายสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในกระบวนการของคดีได้ การเห็นแย้งภายในองค์กรไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการต่างๆ ที่กฎหมายกำหนดเป็นการป้องกันการแทรกแซงจากบุคคลภายนอกซึ่งมีรายละเอียดพอสมควร ฉะนั้นพรรคการเมืองและนักการเมืองอย่าใช้ประเด็นนี้มาเป็นประเด็นทางการเมืองเลย”นายราเมศ กล่าว
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของ “ข้อเท็จจริง” และ“ข้อกฎหมาย” ที่จะเป็นเครื่องมือจัดการปัญหาทั้งหมด ส่วนใครจะสมควรตาย หรือถูกล้อว่า “ยิงตัวไม่ตาย”หรืออะไรก็ตามเถอะ เป็นเรื่องของ “อารมณ์” กับ “ทัศนคติ” ที่ควรจะเพลาๆ ลง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี