เปิดอภิปรายร่างกฎหมาย พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี’63 วันนี้เป็นวันแรก ซึ่งคาดว่าจะจบลงในอีกไม่เกิน 3 วันนี้ แต่ในวันที่ 18 ต.ค. หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ไม่ได้นั่งในสภาฯ อย่างนายธนาธร จะต้องถึงวันขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ คดีการถือหุ้นสื่อ ที่ถูกคาดการณ์ผลไปต่างๆ นานา นอกจากนี้ก่อนจะเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดนครปฐม ในวันพุธหน้า ที่ถูกมองว่าเป็นสงครามตัวแทนของการวัดฐานเสียงประชาชน ระหว่างฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ระหว่างพรรคอนาคตใหม่กับชาติไทยพัฒนา หรืออาจเป็นประชาธิปัตย์ ที่หากเจ้าของพื้นที่เดิมอย่างพรรคอนาคตใหม่ได้รับชัยชนะ ก็ได้แค่เท่าทุน แต่หากพรรคอนาคตใหม่แพ้ ทั้งที่พรรคเพื่อไทยยอม ไม่ส่งผู้สมัครแล้ว อนาคตทางการเมืองของอนาคตใหม่หลังจากนี้คงต้องพิจารณาบทบาทของตัวเองใหม่ต่อพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย หรือไม่ ในการส่งผู้สมัคร? โดยเฉพาะในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะถึงในเร็วๆ นี้ ที่แม้จะบอกว่าไม่มีการฮั้วกันแต่ก็ต้องยอมรับว่าการเมืองแบบแบ่งขั้วตอนนี้จำเป็นต้องมีการพูดคุยเจรจากันใช่หรือไม่?
สำหรับการเตรียมความพร้อมของฝ่ายรัฐบาล ในการพิจารณาร่างกฎหมาย งบประมาณประจำปี’63 นี้ ที่หลายฝ่ายต่างคาดการณ์ว่าอาจจะกินเวลามากถึง 3 วัน ในการอภิปรายและฝ่ายรัฐบาลอาจจะถูกตีรวนถึงประเด็นต่างๆ โดยประเด็นที่ดูน่ากังวลจากการวิเคราะห์ของหลายฝ่าย คือเรื่องของตัวเลขของงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่เพิ่มขึ้น? ที่อาจจะถูกโจมตีว่าควรลดเม็ดเงินในส่วนนี้ และมาเพิ่มเม็ดเงินในส่วนอื่น เพื่อให้เกิดความหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ แต่ถ้าหากมองตามความเป็นจริงแล้ว จะพบว่าการที่งบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่เพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้มีสัดส่วนต่อจีดีพี หรือต่อวงเงินงบประมาณ ที่ผิดแผกไปจากปีก่อน หรือรัฐบาลก่อนๆ นัก เช่นเดียวกับงบประมาณกระทรวงอื่น ที่ถูกเพิ่มตามสัดส่วนของเม็ดเงินงบประมาณมวลรวมที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่เปิดเผย และสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ ดังนั้นแล้วการโจมตีประเด็นดังกล่าว จึงไม่น่าจะส่งแรงสั่นสะเทือนอะไรในสภาฯ มากนัก แม้เสียงรัฐบาลจะมีมากกว่าไม่มาก แต่การทำงานร่วมกันในช่วงที่ผ่านมา น่าจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นปึกแผ่นแล้วใช่หรือไม่?
ทางด้านซีกฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย และอนาคตใหม่ที่แม้ตอนนี้จะทำงานร่วมกันในฐานะพรรคแกนนำฝ่ายค้านแต่ที่ผ่านมาเริ่มมีประเด็นบางจุดในเรื่องของอุดมการณ์ทำให้ไม่ได้เห็นตรงกันเสียหมด ฉะนั้นแล้วคงจะเป็นการดีกว่าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำตัวจริงใช่หรือไม่? หลายคนก็เคยตั้งข้อสังเกตถึงแกนนำพรรคตัวจริงของพรรคเพื่อไทยอย่างคุณหญิงสุดารัตน์ หรือพรรคอนาคตใหม่ อย่างนายธนาธร ที่ไม่ได้อยู่ในสภาฯ ด้วย ทำให้การตัดสินใจในสภาฯ จึงไม่เด็ดขาดอย่างเต็มที่ ทั้งภายในพรรคเองและระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกัน
ดังนั้นผลที่เกิดขึ้น หากจะมีพรรคใดที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำในการสั่งการ ย่อมทำให้เกิดผลลัพธ์ปลายทางที่ต่างกัน ซึ่งจะมีผลต่อทั้งการเดินเกมในสภาฯ การเดิมเกมนอกสภาฯ รวมไปถึงมีผลต่อการเลือกตั้งในอนาคต หรือในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างการเลือกตั้งซ่อม เช่นที่จังหวัดนครปฐม ที่จะเกิดขึ้นในวันพุธที่ 23 ต.ค. โดยในพื้นที่นี้แม้พรรคแกนนำฝ่ายค้านทั้งสองจะสามารถตกลงกันได้ ด้วยการส่งสัญญาณหลบให้ด้วยความเต็มใจ? แต่ก็ต้องรอดูถึงสนามอื่นที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ว่ายังจะสามารถตกลงกันได้หรือไม่?
เมื่อพูดถึงการเลือกตั้งซ่อมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ใกล้เข้ามาเช่นเดียวกันก็คือ สนามเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งหมด 7,853 แห่งทั่วประเทศ หรือที่คุ้นกันในชื่อของสนามเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ในขณะนี้ทั้งพรรคและทั้งผู้สมัครต่างฝ่ายต่างเฟ้นหา และเคลื่อนไหวกันฝุ่นตลบ ซึ่งแต่ละพรรคต่างก็พยายามดึงเอาตัวผู้สมัครที่อยู่ในระดับที่สามารถดึงดูดความสนใจจากประชาชนได้ เพื่อลงสมัครในนามของพรรคในการลงชิงชัยสนามนี้ ส่วนผู้สมัครเองก็เริ่มมองหาพรรคการเมืองทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าเพื่อให้ตอบโจทย์ตัวเองและกลุ่มฐานเสียงของคนในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่สนามการเลือกตั้งท้องถิ่น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของอิทธิพล บารมี และอำนาจต่างๆ และเกี่ยวพันกันอย่างมีนัยสำคัญกับสนามการเมืองระดับชาติ ทำให้ไม่ว่าพรรคการเมืองใดต่างก็ต้องการหยิบเอาชัยชนะในสนามนี้ เพื่อต่อยอดสู่เวทีระดับชาติ แต่แน่นอนว่าก่อนที่แต่ละพรรคจะส่งผู้สมัครของตัวเองเข้าลงแข่ง ก็ล้วนต้องคัดสรรบุคคลที่ดีที่สุดในพรรคตัวเอง โดยวิธีการต่างๆ หลากหลายรูปแบบกันไปแต่วิธีหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน ก็คือการใช้วิธีการและเครื่องมือทางประชาธิปไตย อย่างการเปิดแสดงวิสัยทัศน์ และให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วม ซึ่งก็เปรียบเสมือนการใช้การตัดสินใจของประชาชนมาเป็นผู้ตัดสินและมีส่วนร่วมในกระบวนการตั้งแต่เริ่มแรก โดยที่ผ่านมาก็มีหลายพรรคการเมืองที่ใช้วิธีดังกล่าว เช่นพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อครั้งเลือกหัวหน้าพรรคระหว่างนายอภิสิทธิ์ นพ.วรงค์ และนายอลงกรณ์ อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีการหรือเครื่องมือทางประชาธิปไตยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับความโปร่งใส และยุติธรรม มิเช่นนั้นแล้วย่อมก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีใช่หรือไม่?
กระนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าพรรคอนาคตใหม่เองจะประสบกับปัญหาดังกล่าวอยู่หรือไม่? หลังทีมงานผู้สมัครอบจ. จังหวัดต่างๆ ของพรรคอนาคตใหม่ทยอยออกมาประกาศกร้าวถึงพรรคต้นสังกัด ในการบริหารงานของส่วนกลางที่เป็นปัญหา? ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนางลัดดา จตุอุทัยศรี สมาชิกพรรคอนาคตใหม่ จังหวัดจันทบุรี ที่ออกมาประกาศผ่านสื่อตัดขาดกับพรรคอนาคตใหม่ ในทำนองว่าไม่ทำตามกติกา และขาดความยุติธรรม? หลังนางลัดดาถูกตัดสิทธิในการเข้าดีเบตการเป็นตัวแทนผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรค ซึ่งเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร ต้องติดตามดูต่อไป แต่ก็มีอีกกรณีของผู้สมัครจังหวัดชลบุรี อย่าง นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง ที่แสดงความเห็นผ่านสื่อ โดยอ้างว่าทำตามกติกาทุกอย่าง แต่กลับไม่ได้รับการพิจารณาจากพรรคอนาคตใหม่?
ในกรณีดังกล่าวหลายฝ่ายก็มองว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะมีนัยบางอย่างซ่อนอยู่หรือไม่? เพราะตัวของนายจิรวุฒิเองถือเป็นตัวเต็งชื่อดังของจังหวัดชลบุรีในสนามนี้ การกระทำที่ดูไม่ให้เกียรติดังกล่าว หากไม่มีเหตุผลที่สามารถยอมรับได้ ย่อมไม่เกิดผลดีในอนาคตแน่ใช่หรือไม่? และจะก่อให้เกิดผลกระทบกับการบริหารงานต่อไปนี้ของพรรคอนาคตใหม่หรือไม่?คงต้องติดตามดูต่อไป
อย่างไรก็ดี ในทางการเมืองที่ผ่านมา เดือนตุลาคมถือเป็นเดือนที่มีเหตุการณ์สำคัญๆ และก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเป็นเดือนเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ และเป็นช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำปี นอกเหนือจากนั้น ในปีนี้ยังมีเรื่องของการเลือกตั้งซ่อม และเริ่มมีการพิจารณาตลอดจนตัดสินคดีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแกนนำทางการเมือง ซึ่งหากมองเผินๆ แล้ว ดูเหมือนว่าน่าจะมีปัจจัยที่อาจจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย ซึ่งก็อาจมีโอกาสเกิดขึ้นก็ได้ หรือไม่เกิดอะไรขึ้นเลยก็ได้ เพราะในสถานการณ์ทางการเมืองของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ภายใต้สภาฯ ชุดนี้ก็ยังถือว่าไม่มีอะไรมาก เมื่อเทียบกับสมัยที่พล.อ.ประยุทธ์ เจอวิกฤติในขณะที่ยังเป็นนายกฯในสมัยรัฐบาล คสช. ตลอด 4 ปี แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ และเมื่อพิจารณาประกอบกับท่าทีจากนานาประเทศในขณะนี้ ยังถือว่าให้ความมั่นใจในสถานการณ์การเมืองไทยอยู่ไม่น้อย อย่างสภาอียูที่เร่งเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับไทยหลังมีการเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นประชาชนก็น่าพอจะจับสัญญาณทางการเมืองในขณะนี้ได้ใช่หรือไม่?
“...ระหว่างคนที่รักกัน ไฉนเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน
ระแวงคลางแคลงซึ่งกันและกันหรือนี่เป็นส่วนหนึ่งของความรัก...”
โกวเล้ง จากหลั่งเลือดสะท้านภพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี