ระยะนี้กำลังมีการถกเถียงโต้แย้งกันอย่างรุนแรงถึงขั้นเป็นคดีความกันแล้วในเรื่องที่เกี่ยวกับการพูดจาเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ซึ่งบัญญัติว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
ถกเถียงกันราวกับจะเป็นเรื่องเป็นตายของบ้านเมือง และราวกับว่าบทบัญญัติในมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญนั้นเป็นความถูกต้องถ่องแท้ที่แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
แค่ใครพูดถึงการแก้ไขก็อาจถูกคนกล่าวหาว่าเป็นกบฏ แม้พรรคการเมืองบางพรรคที่ทำตัวอ่อนไหวราวยอดหญ้าลู่ตามลมก็ออกมาประกาศว่าใครคิดจะแก้ไขมาตรา 1 ก็ถือว่าเป็นศัตรูกับพรรคการเมืองนั้นด้วย
ก็ต้องบอกว่าบ้ากันไปใหญ่แล้ว!
เพราะรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ทั้งนั้น แต่ในหลักการสำคัญคือความเป็นพระราชอาณาจักรที่แบ่งแยกมิได้ก็ดี เป็นพระราชอาณาจักรที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ดี เป็นหลักการใหญ่ที่รัฐธรรมนูญห้ามมิให้มีการแก้ไข
ดังนั้นถ้าหากการแก้ไขในถ้อยคำภาษาย่อมแก้ไขได้ไม่ได้ผิดบาปแต่ประการใด โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญมาตรา 1นั้นถ้อยคำก็ไม่ใช่ว่าดีเด่อะไรนักหนา
ในอดีตข้อความในรัฐธรรมนูญมาตรา 1 เคยบัญญัติไว้ว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรเดียวกัน จะแบ่งแยกมิได้ แต่ก็มีผู้โต้แย้งว่าคำว่า “กัน” นั้นเป็นคำเกิน สมควรต้องตัดออกไป เพราะคำว่า “กัน” หมายถึงการกีดกันก็ได้ หมายถึงการปิดก็ได้ และการใช้คำว่า “กัน” นั้นก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
เมื่อโต้เถียงกันมากเข้าฝ่ายที่เห็นด้วยกับการแก้ไขก็มีมากขึ้น ในที่สุดก็มีการแก้ไขในเรื่องนี้กลับไปกลับมาหลายหน โดยเฉพาะมีการโต้เถียงกันอุตลุดในทุกครั้งที่มีการแก้ไข
บางครั้งก็ถกเถียงในการแก้ไขว่าประเทศไทยเป็นอาณาจักรอันเดียวกันก็มี หรือประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันเดียว หรือราชอาณาจักรเดียว แล้วต่อท้ายด้วยจะแบ่งแยกมิได้ก็มี
ครั้นมาถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ก็วางบทบัญญัติว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกมิได้ ก็มีเสียงท้วงติงกันหนาหูมากขึ้นทุกทีว่าข้อความแบบนี้เป็นการทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสีย บางพวกก็เลยเถิดไปถึงหลักฮวงจุ้ยว่าเป็นถ้อยคำอัปมงคลก็มี ซึ่งก็ยังคงถกเถียงกันในทางนิรุตติอย่างกว้างขวาง
เพราะคำว่า “กัน” ซึ่งเป็นปัญหามาแต่เดิมก็ยังมีถ้อยคำนี้อยู่เหมือนเดิม
และที่สำคัญก็คือประเทศไทยเรานั้นจะเรียกเป็นอันได้อย่างไร เพราะคำว่า “อัน” นั้นหมายถึงจำนวนหน่วยนับของวัตถุ ดังเช่นไม้บรรทัด 3 อัน เป็นต้น ซึ่งคำว่า “อัน”นี้ในทางภาษาก็ละม้ายคล้ายคลึงกับคำว่าดุ้นหรือท่อนซึ่งใช้กับวัตถุ
ดังนั้นเมื่อคำว่า “อัน” มาประกอบเข้ากับการเป็นราชอาณาจักรหรือประเทศก็ย่อมมีความหมายว่าประเทศเป็นวัตถุที่นับจำนวนหน่วยเป็นอัน
ถามจริงๆ เถิดว่าคำว่า “อันหนึ่งอันเดียวกัน” นั้นมีความหมายว่าอย่างไร ให้ความกระจ่างอะไรบ้าง สะท้อนความหมายอย่างไร แค่ความรู้สึกเป็นมงคลหรืออัปมงคลก็ยังเป็นที่สงสัยกันเป็นอันมาก
คำว่า “อันหนึ่งอันเดียว” ก็เป็นปัญหาในลักษณะความหมายอยู่แล้ว ยิ่งประกอบเข้ากับคำว่า “กัน” อีกก็ยิ่งมีความหมายสับสนมากขึ้น
แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลังจากมีการถกเถียงกันในทุกครั้ง ในความหมายของข้อความลักษณะนี้ ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ทุกยุคทุกสมัย ก็ไม่มีข้อยุติ และหาข้อสรุปก็ไม่ได้ ในที่สุดก็พร้อมใจกันให้ผ่านๆกันไป ด้วยการเอาใจทุกฝ่าย
จึงมีข้อความว่า “อันหนึ่งอันเดียว” ด้วย มีข้อความว่า “กัน” ด้วย ก็พอจะสมประโยชน์ตามความคิดความเห็นของการถกเถียงกันนั้น ในที่สุดข้อความลูกผสมจึงปรากฏให้เห็นดังเช่นที่มีความพยายามจะแก้ไขกันนั่นเอง
ลองนึกดูว่าถ้าตัดคำว่า “อันหนึ่งอันเดียวกัน”ออกไป คงเหลือแต่คำว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรจะแบ่งแยกมิได้” จะได้ความหมายที่ครบถ้วนสมบูรณ์ชัดเจน ไม่ก่อให้เกิดความสับสนหรืองุนงงสงสัยเหมือนข้อความที่เป็นอยู่หรือไม่
ขอสาธุชนทั้งหลายที่มีน้ำใจเป็นธรรมและวางใจให้เที่ยงตรงได้ลองคิดพิจารณาให้จงดีว่าถ้าหากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ให้มีข้อความว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร จะแบ่งแยกมิได้” ก็จะมีความงดงามสมบูรณ์ ปราศจากมลทินข้อสงสัยใดๆ ยิ่งกว่าข้อความเดิม
หรือไม่
และถ้าหากมีการแก้ไขเช่นนี้แล้วก็ควรจะจัดวางบทมาตราที่สอดคล้องกันและเกี่ยวเนื่องกันให้เรียงเป็นลำดับกันไปพร้อมกันก็ย่อมได้
ดังเช่น แก้ไขปรับปรุงมาตรา 1 เป็นว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร จะแบ่งแยกมิได้”
จากนั้นก็มาแก้ไขปรับปรุงมาตรา 2 เดิมเป็นว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
แล้วก็แก้ไขปรับปรุงมาตรา 3 ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทย ทรงเป็นจอมทัพไทย ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้”
จากนั้นก็จัดเรียบเรียงบทมาตราของรัฐธรรมนูญใหม่ให้มีความต่อเนื่องชัดเจน โดยถือเอาพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานเป็นแนวทางในการร่างรัฐธรรมนูญมาเป็นหลักในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญใหม่คือต้องสั้น ต้องไม่ยาว ต้องชัด ต้องแจ้ง ก็จะไม่เป็นปัญหาที่ต้องตีความกันแทบทุกมาตราดังที่เป็นอยู่
นอกจากนั้นต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญ 2560 นี้มีบทบัญญัติกว่าครึ่งที่ไม่มีลักษณะเป็นเนื้อหาแห่งรัฐธรรมนูญ และสามารถแยกออกไปบัญญัติต่างหากในรูปของพระราชบัญญัติหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญก็ได้ ดังเช่น บทบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติมากหลายซึ่งกินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของรัฐธรรมนูญ รวมทั้งวิธีการสรรหาและวิธีการประชุมกรรมการต่างๆ ซึ่งไม่ใช่บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และก่อให้เกิดปัญหาแก่บ้านเมืองจนกระทั่งเป็นวิกฤติของบ้านเมืองดังที่เป็นอยู่
เพียงเท่าที่ยกมาแสดงนี้ ผู้มีใจเป็นธรรมก็ย่อมเห็นความจำเป็นอยู่แล้วว่ากรณีมีความจำเป็นต้องรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะในเมื่อปัญหามากหลายเกิดแต่รัฐธรรมนูญ การจะแก้ปัญหาก็ต้องแก้ที่เหตุดังนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี