ถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติธรรมดา ที่ประธานสภาจะนั่งสนทนากับผู้แทนภาคประชาสังคม หรือองค์กรที่มิใช่รัฐ (Non-Government Organizations - NGOs หรือ Civil Society Organizations - CSOs) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเพื่อปูทางไปสู่ความร่วมมือระหว่างกัน
แต่เหตุการณ์นี้ ก็ได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่24 ตุลาคมนี้ ที่รัฐสภามาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยผู้ร่วมเป็นเจ้าภาพ คือ ประธานสภามาเลเซีย และองค์กร Asia-Pacific Network for Refugees - องค์กรเครือข่ายภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ว่าด้วยเรื่องผู้อพยพลี้ภัย ซึ่งมีสำนักงานกลางอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์และมีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศสมาชิกอาเซียน เช่น ไทย ได้จัดการพบปะแบบ Working Lunch (กินไปด้วยคุยไปด้วย)
ในงานนี้ มีผู้เข้าร่วมแบ่งเป็น 4 กลุ่มหลักคือ
1. ฝ่ายสภามาเลเซีย (ประธานและรองประธาน และบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประมาณ 15 คน
2. ผู้แทนองค์การมิใช่รัฐ ประมาณ 30 คน รวมทั้งผู้แทนของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์
3. ตัวแทนผู้ลี้ภัยที่พำนักอาศัยอยู่ในมาเลเซีย จากซีเรีย อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และโดยเฉพาะชาวโรฮีนจาจากพม่า
4. แขกรับเชิญเพื่อมา “ร่วมปราศรัย” อันได้แก่ พลเมืองอาวุโสของมาเลเซีย ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีกลาโหม และอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้แทนสำนักงานกาชาดอิสลามจากตุรกี และตัวผมเอง
ผลที่ออกมาคือ ทางฝ่ายสภาตกลงจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาประเด็นปัญหา และยกร่างกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองและดูแลผู้อพยพลี้ภัยและจะประสานงานกับทางฝ่ายองค์กรที่มิใช่รัฐ ทั้งในการดูแลผู้อพยพลี้ภัยให้ดีขึ้นระหว่างการดำเนินการยกร่างกฎหมาย
และในการกล่าวถ้อยแถลงของผม ผมได้เน้นไป3 ประเด็น คือ
1. สถานะและจำนวนผู้อพยพลี้ภัยในประเทศไทย(ชาวพม่าประมาณ 150,000 คน ใน 9 ค่ายผู้อพยพตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า ชาวพม่าเชื้อสายโรฮีนจาที่กระจัดกระจายกันอยู่ประมาณ 20,000-30,000 คนและผู้อพยพลี้ภัยในตัวเมืองจากตะวันออกกลาง ชมพูทวีปเอเชีย-แปซิฟิก ประมาณ 8,000 คน)
2. ผลงานอันน่าประทับใจของไทยในการโอบแขนต้อนรับดูแลผู้อพยพลี้ภัย ย้อนไปตั้งแต่คนจีนจากสงครามกลางเมือง คนชมพูทวีปจากการแบ่งแยกเป็น คนอินเดีย และปากีสถาน คนเวียดนาม (สงครามอิสรภาพเวียดนาม) และฉะนั้น ปัญหาคั่งค้างในปัจจุบันนั้นก็เชื่อว่า ไทยจะดำเนินการด้วยดี เมื่อมีความมุ่งมั่น และการตัดสินใจทางการเมือง (Political Will)
3. ประเด็นปัญหาคือ ผู้อพยพลี้ภัยถือเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำ (Victims) ในบ้านเกิดของเขา และจำต้องหนีร้อนมาพึ่งเย็น ฉะนั้น ประเทศไทยจะใช้เพียงแค่กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง เป็นเครื่องมือกลไกหลักอย่างเดียวไม่ได้ เพราะไม่เหมาะสม หากแต่จำต้องมีกฎหมายเฉพาะ ว่าด้วยการคุ้มครองผู้อพยพลี้ภัย ซึ่งในระดับองค์การที่มิใช่รัฐก็ได้เริ่มมีการปรึกษาหารือ หรือให้ข้อแนะนำและเรียกร้องต่อภาครัฐไปบ้างแล้วในเรื่องการยกระดับการดูแลและการยกร่างกฎหมาย
ซึ่งความคืบหน้าในชั้นนี้ คือการมีบันทึกช่วยจำระหว่าง 3 กระทรวง ในการเอาแม่และเด็กออกจากที่คุมขัง (detention center) ซึ่งก็ไม่เป็นการเพียงพอจัดว่าเป็นมาตรการชั่วคราว ฝ่ายไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองดูแลผู้อพยพลี้ภัยด้วยหลักมนุษยธรรม มีความเป็นสากล เช่น การให้การศึกษาฝึกอาชีพ การรักษาพยาบาล เป็นต้น และมีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองดูแลผู้อพยพลี้ภัยเป็นการเฉพาะ ซึ่งก็จะสมดังที่เราเป็นเมืองพุทธ และคนไทยเป็นคนโอบอ้อมอารี
อีกประเด็นสำคัญที่มีการหารือกันก็คือ ทำอย่างไร จึงจะเกิดการเปลี่ยนทัศนคติว่า ผู้ลี้ภัยมิใช่เป็นตัวปัญหาแต่เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่ง (Assets) แก่สังคมของประเทศผู้ต้อนรับ คือให้มาช่วยทำงานและเสียภาษีเป็นการช่วยพัฒนาด้วย ผู้ลี้ภัยก็มีความรู้ติดตัวไปทำมาหากินได้ โดยระหว่างที่ได้รับความช่วยเหลือรอส่งผ่านไปประเทศที่ 3 ก็ไม่เป็นภาระกับประเทศที่รับไว้ชั่วคราวอีกด้วย
ระบบการดูแลด้วยหลักมนุษยธรรมนั้น ของตุรกีมีความก้าวหน้าเป็นกิจจะลักษณะ ก็เป็นแบบอย่างให้กับไทย และมาเลเซียได้
ประเด็นสุดท้าย ก็อยากฝากไว้ให้ช่วยกันคิดต่อยอดกันทั้งภาครัฐ และเอกชน เพราะปัญหาผู้ลี้ภัยนั้นมีทางออก เพียงแต่เราจะจริงใจในการแก้ไข และยืนอยู่บนหลักสิทธิมนุษย์ชนกันแค่ไหนเท่านั้น
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี