หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ของทั้งไทย และกัมพูชา ต่างปลูกฝังให้เยาวชนของทั้งสองประเทศ ตระหนักรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรู ที่บ่อนทำลาย และเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่งมาแต่ครั้งอดีต การปลูกฝังค่านิยม และความเชื่อแบบนี้ได้นำประชาชนประเทศทั้งสองไปสู่ความเกลียดชังความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน และเสริมสร้างลัทธิคลั่งชาติ หรือชาตินิยม เท่ากับว่าทั้งสองประเทศต้องทบทวนหนังสือเรียนประวัติศาสตร์เพื่อป้องกันมิให้มีการนำเอาเรื่องแต่อดีตมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในปัจจุบัน และเมื่อยังไม่สามารถก้าวข้ามได้ จึงเป็นการง่ายที่จะถูกนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองภายในและเพื่อผลประโยชน์ในการเอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้ชาวโลกได้คล้อยตาม
ควบคู่ไปกับหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ที่เป็นหนามยอกอกชาวไทย และชาวกัมพูชาแล้ว ไทยก็ยังมีปัญหาที่เป็นมรดกตกทอดจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสผู้ยึดครองกัมพูชาเป็นเวลาร่วมร้อยปี และคุกคามความเป็นเอกราช อิสรเสรีของไทยมาโดยตลอด จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมรดกตกทอดนั้นก็คือ สนธิสัญญาสยามกับฝรั่งเศสต่างๆ ไปจนถึงการจัดทำแผนที่และการสำรวจพื้นที่ที่เมื่อร้อยปีมาแล้วฝ่ายสยามขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยี และขาดความชำนาญการในเรื่องของการขีดเขียนสนธิสัญญาหรือข้อตกลงตามแบบฉบับของฝ่ายยุโรปตะวันตก อีกทั้งอำนาจต่อรองของฝ่ายสยามก็มีจำกัดเมื่อเทียบกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส
เมื่อเป็นเช่นนั้นการตีความสนธิสัญญาก็ดี หรือการพินิจพิจารณาแผนที่ต่างๆ ก็ดี ฝ่ายสยามก็มีความเสียเปรียบอยู่ในตัว อีกทั้งศาลยุติธรรมโลกก็เป็นผลิตภัณฑ์ของฝ่ายยุโรปตะวันตก มิใช่ของฝ่ายเอเชีย แอฟริกา หรืออเมริกาใต้ การจะเข้าไปเป็นผู้บริหารหรือนั่งอยู่บนบัลลังก์ตุลาการก็จะเป็นความยากลำบากสำหรับฝ่ายประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย รวมทั้งรัฐสยามหรือรัฐไทยในวันนี้
นอกจากนั้น บรรดาผู้นำชุดต่างๆ ของกัมพูชา ตั้งแต่กัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส ก็มักจะขาดมิตรไมตรีกับฝ่ายไทย แล้วเอาความทรงจำแต่อดีตของการพ่ายแพ้ทางสงคราม มาเป็นเครื่องมือเครื่องเล่นทางการเมืองภายใน และในการดำเนินความสัมพันธ์กับฝ่ายไทย ทั้งๆ ที่เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ชาวไทยกับชาวกัมพูชาก็มีความเหมือนคล้ายคลึงมากกว่าความต่าง ทั้งในวิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรม และในอีกแง่หนึ่งทั้งสองประเทศต่างก็ได้รับเคราะห์กรรมจากเจ้าอาณานิคม โดยฝ่ายกัมพูชาหนักกว่าหน่อยเมื่อตกไปเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ส่วนฝ่ายไทยนั้นก็ถูกบีบคั้นจากฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสมาโดยตลอด และนอกจากนั้นรัฐสยามยังต้องจัดทำสนธิสัญญานอกอาณาเขตกับอีกหลายๆ ประเทศฝ่ายตะวันตก
เพื่อจะให้ดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างสองชนชาติและสองประเทศ เพราะประเทศเราอยู่ติดกัน อีกทั้งเราร่วมกันใช้แม่น้ำโขง ทะเลอ่าวไทย และเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน ซึ่งความร่วมมือต่างๆเป็นโอกาสทองและจะร่วมมือกันได้ดี ทั้งสองประเทศก็ต้องร่วมกันก้าวข้ามประวัติศาสตร์แต่อดีต โดยคำนึงถึงวิถีชีวิตที่มีความคล้ายคลึงกัน เป็นเสมือนพี่น้อง
ฉะนั้นก็ต้องมีการชำระประวัติศาสตร์ร่วมกันทั้งในระดับอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือแหลมทองหรือสุวรรณภูมิ และชำระประวัติศาสตร์ทวิภาคีหรือไทยกับกัมพูชา เพื่อให้ตระหนักรู้ รับความเป็นจริงที่ผ่านพ้นเสร็จสิ้นไปแล้ว คำนึงและชื่นชมกับความคล้ายความเหมือน และคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อมีความสมัครสมานสามัคคีกัน
โดยทั้งนี้บรรดานักการเมืองปัญญาชนทั้งหลายจะต้องให้คำมั่นสัญญาว่า จะไม่เอาเรื่องแต่อดีตมาเป็นเครื่องมือกลไกลัทธิคลั่งชาติหรือชาตินิยม แต่จะร่วมกันมองไปข้างหน้าเพื่ออนาคตที่ดีร่วมกัน ที่เต็มไปด้วยโอกาสและศักยภาพ การที่จะย้อนกลับไปใฝ่หาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เพื่อมาเสริมสร้างความบาดหมางและการเป็นศัตรูกันโดยใช่เหตุ
ในการนี้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาต่างก็มีผู้มีสติปัญญาและมีเหตุมีผล ก็อยู่ในวิสัยจะออกมาแสดงตัวและจับมือกันเพื่อเริ่มศักราชของความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชากันใหม่ เพราะผู้มีปัญญาคือผู้ที่รักสันติมีความนึกคิดเกี่ยวกับการให้อภัย ไม่ลืมเลือนเรื่องแต่อดีต แต่เอาเรื่องแต่อดีตมาเป็นเรื่องเตือนสติว่า จะไม่ไปในทิศทางของการมุ่งร้ายและหักล้างทำลายกัน จะเป็นเครื่องเตือนสติด้วยว่า อดีตมิได้มีแต่ความขมขื่น แต่อดีตก็มีความสำเร็จ มีความดีงามอีกด้วย และก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องร่วมกันสืบทอดหรือต่อยอดความคล้ายคลึง ความเหมือนกันต่อไปแทนที่จะจมปลักอยู่กับเรื่องที่เศร้าโศกและไม่พึงปรารถนา
การให้อภัยกันเป็นปฏิบัติการที่มนุษย์ผู้ประเสริฐเท่านั้นที่จะสามารถกระทำได้ แล้วเมื่อให้อภัยกันแล้ว ด้วยการรับทราบสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว เราต่างก็สามารถที่จะสานต่อและก่อร่างสร้างเสริมกันต่อไปได้ แหลมทองก็จะเป็นแหลมของความมั่งมี มั่งคั่ง ทั้งทางด้านกายภาพและจิตใจ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี