ก่อนหน้านี้ อัยการเพิ่งจะมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจกับพวก คดีไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊คโจมตีพลังดูด คสช.
เช่นเดียวกับที่เพิ่งจะสั่งไม่ฟ้องนายพิชัย นริพทะพันธุ์ - สั่งไม่ฟ้องนายวัฒนา เมืองสุข นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายชูศักดิ์ ศิรินิล ฯลฯ
แต่ก็ยังไม่เห็นใครออกมาโจมตีว่าเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด
โดยเฉพาะฝ่ายลูกสมุนบริวารของระบอบทักษิณ ที่ชอบโจมตีกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เพิ่งจะมีกรณีอัยการระดับอธิบดีบางคน โพสต์เฟซบุ๊คในเชิงปกป้องเข้าข้างสส.พรรคอนาคตใหม่ ที่โพสต์ข้อความมิบังควรจาบจ้วงสถาบันอย่างชัดเจน และยังชอบโพสต์ข้อความโจมตีพรรคการเมืองบางพรรคที่เป็นคู่แข่ง กระทั่งถูกนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง แถมด้วยการตั้งคำถามว่า “หรือว่าท่านเป็นพวกเดียวกันกับกลุ่มคนพวกนี้ที่ชอบกระทำการมิบังควรอยู่เสมอๆ ครับ”
1. ล่าสุด มีข่าวว่า อัยการได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในคดีฟอกเงินของ “เจ้าสัวธรรมกาย” นายอนันต์ อัศวโภคิน กรณีพัวพันกับที่ดิน 47 ไร่ใกล้ๆ วัดพระธรรมกาย อันมีที่มาจากการผ่องถ่ายเงินโกงสหกรณ์ฯคลองจั่นของนายศุภชัย อดีตไวยาวัจกรวัดพระธรรมกาย
ขณะนี้ รอดูท่าทีของพันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าจะเห็นแย้ง และส่งสำนวนไต่สวนกลับไปให้สำนักงานอัยการสูงสูด (อสส.) เพื่อพิจารณาสั่งฟ้องคดีอีกครั้ง หรือไม่ ?
น่าสังเกตว่า ล่าสุด อธิบดีดีเอสไอก็เพิ่งจะได้ต่ออายุไปอีก 1 ปี
และกรณีคดีวิคตอเรียซีเครท ที่อัยการกลับความเห็นเป็นสั่งไม่ฟ้องลูกและเมียของเสี่ยกำพลในข้อหาค้ามนุษย์แล้ว ดีเอสไอก็ไม่แย้งความเห็นอัยการ
2. น่าสนใจบทบาทของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้
โดยเฉพาะ “อัยการ” ที่เพิ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับอัยการสูงสุด
จะทำหน้าที่เที่ยงตรง แม่นยำ แค่ไหน อย่างไร?
นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ดี หรืออดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ก็ดี รวมถึงวิญญูชนทั่วไป พึงช่วยกันจับตามอง
3. นึกถึงบทความทางวิชาการบางเรื่อง ที่เขียนเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของอัยการ
“อัยการกับการสั่งคดีโดยเที่ยงธรรม” โดย คุณกุลพล พลวัน อดีตอัยการอาวุโส
เนื้อหาบางประเด็นที่น่าสนใจ เช่น
3.1 “การสั่งคดีของอัยการในประเทศไทยได้ใช้หลักการฟ้องตามดุลพินิจ (Opportunity Principle) กล่าวคือ แม้พยานหลักฐานจากการสอบสวนน่าเชื่อว่าผู้ต้องหากระทำผิดและผู้ต้องหายอมรับสารภาพ แต่หากอัยการพิจารณาว่าการฟ้องศาลอาจมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อความมั่นคงหรือประโยชน์อันสำคัญยิ่งของประเทศชาติ หรือกระทบต่อความรู้สึกในทางศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมได้ประโยชน์จากการฟ้องนี้หรือไม่ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าผลเสียมีมากกว่าผลดี อัยการก็อาจมีคำสั่งไม่ฟ้องได้ ซึ่งเรียกกันว่า การสั่งไม่ฟ้องตามนโยบายเพื่อประโยชน์สาธารณะ (Public Policy) ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 78 ดังเช่น กรณีเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีกว่า มีหน้าที่ขายซาลาเปาในห้างสรรพสินค้า ได้แอบหยิบซาลาเปาให้น้องชาย 1 ลูก ราคาเพียง 10 บาท ซึ่งเป็นความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้าง แต่อัยการสูงสุดพิจารณาเห็นว่าผู้ต้องหาอายุเพียง18 ปีกว่า กระทำผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทรัพย์ราคาเพียง 10 บาท หากสั่งฟ้องคดีจะเป็นผลร้ายแก่ชีวิตในระยะยาวของเขา เพราะแม้ศาลจะพิพากษารอลงอาญาให้เขาก็จะมีทะเบียนประวัติอาชญากรว่าเคยต้องคำพิพากษาถึงจำคุก ฐานลักทรัพย์ ดังนั้น อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องในที่สุด”
3.2 “การสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องคดีของอัยการนั้น ยังมิใช่ขั้นตอนการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นเพียงขั้นตอนวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานน่าเชื่อหรือไม่ว่าผู้ต้องหากระทำผิด และมีพยานหลักฐานเพียงพอพิสูจน์ความผิดในศาลหรือไม่เท่านั้น ส่วนผู้ต้องหาจะกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาล ดังนั้น ป.วิ.อาญา มาตรา 143 ซึ่งเป็นมาตราสำคัญในการสั่งคดีของอัยการจึงใช้ถ้อยคำว่า “เมื่อมีความเห็นควรสั่งฟ้องให้ออกคำสั่งฟ้อง เมื่อมีความเห็นควรสั่งฟ้องให้ออกคำสั่งฟ้อง เมื่อมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องให้ออกคำสั่งไม่ฟ้องกฎหมายมิได้บัญญัติว่าเมื่อเห็นว่าผิดหรือไม่ผิด” แต่อย่างใด ซึ่งต่างกับการพิพากษาของศาลที่เป็นการวินิจฉัยความผิดของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว...”
3.3 “กล่าวโดยสรุป ความหมายหรือขอบเขตของการสั่งคดีหรือปฏิบัติหน้าที่โดยเที่ยงธรรมของอัยการ ก็คือ ต้องเป็นไปโดยถูกต้องตามพยานหลักฐานและตามกฎหมาย ดำรงในความยุติธรรมโดยปราศจากอคติ ไม่เอนเอียงหรือหวั่นไหวต่ออำนาจอิทธิพลหรือการกดดันใดๆ เคารพและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และคำนึงสิทธิมนุษยชน หลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติทุกกรณี ปฏิบัติอย่างเหมาะสมทั้งต่อผู้ถูกกล่าวหาและผู้เสียหาย อัยการจะต้องให้ความใส่ใจอย่างละเอียดรอบคอบต่อพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในคดี โดยไม่คำนึงว่าตนจะได้รับผลกระทบในทางที่เป็นคุณหรือโทษจากผู้ต้องสงสัยหรือผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองสังคมให้มีความสงบปลอดภัย และอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะสามารถกระทำได้นั้นเอง”
4. น่าคิดว่า สังคมไทยจดจำบทบาทการทำหน้าที่ของอัยการ ในคดีเกี่ยวกับธรรมกายไว้อย่างไร?
สมัยปี 2542 “ธัมมชโย” เคยถูกฟ้องคดีขึ้นสู่ศาลไปแล้ว เนื่องจากพฤติการณ์ยักยอกทรัพย์และที่ดินบริจาคเป็นพันๆ ไร่ รวมมูลค่านับเป็นร้อยล้าน-พันล้าน แต่เวลาผ่านไป การเมืองเปลี่ยนยุค อัยการสูงสุดเปลี่ยนคน ศาลสืบพยานอีก 2 นัด ก็จะจบ จวนจะเข้าสู่ขั้นตอนพิพากษาคดีอยู่แล้ว
ปรากฏว่า เดือนกรกฎาคม 2549 วัดพระธรรมกายเชิญทักษิณชินวัตร นายกฯ ขณะนั้น ไปทำกิจกรรมที่วัดท่ามกลางมวลชนหลายหมื่นหลังจากนั้นไม่ถึงเดือน อัยการขอถอนฟ้องคดีพระธัมมชโยในศาลอาญา โดยอ้างว่า ได้คืนเงินแล้ว
จะเรียกว่า นั่นคือ “แผลเก่า” ก็ว่าได้
น่าคิดว่า ในยุคนี้ อัยการสูงสุดชื่อว่า “นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์”จะมี “แผลสด” เกิดขึ้นอีกหรือไม่?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี