คนที่สนใจและติดตามข่าวของการบินไทยคงจะได้ทราบแล้วว่า นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทการบินไทยเรียบร้อยแล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 (ดูเอกสารประกอบ)
ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่าเหตุใดนายเอกนิติ จึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนี้ ทั้งๆ ที่ในตอนแรกหลังจากนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ขึ้นรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้วได้เคยกล่าวทำนองว่า บรรดาบอร์ดต่างๆ ในหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคมสมควรจะต้องพิจารณาตนเองเป็นการด่วน หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และมีรัฐมนตรีดูแลกระทรวงคมนาคมชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งคำกล่าวในครั้งนั้นของนายศักดิ์สยาม ส่งผลให้บรรดาประธานบอร์ดของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมตัดสินใจลาออกกันเป็นทิวแถว ยกเว้นก็เพียงบางหน่วยงานเท่านั้น ซึ่งรวมถึงนายเอกนิติ ประธานบอร์ดการบินไทยด้วย แต่สุดท้ายเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 สาธารณชนก็ได้พบว่านายเอกนิติตัดสินใจลาออกอย่างกะทันหัน
และจนถึงขณะนี้ (วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน) นายเอกนิติยังไม่ให้เหตุผลใดๆ กับการตัดสินใจลาออก ดังนั้นจึงยังไม่มีใครให้คำตอบเรื่องนี้ที่ชัดเจนได้ ยกเว้นจะคาดเดากันไปต่างๆ นานา ตามฐานคติที่แต่ละคนมี
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายถาวร เสนเนียม ไปตรวจเยี่ยมบริษัทการบินไทย แล้วได้มอบนโยบายให้ผู้บริหารของการบินไทยนำไปปฏิบัติ (โปรดดูจากเอกสารภายในของการบินไทยที่เวียนให้บุคลากรของการบินไทยได้รับทราบ)
TG News from D4 / Please Share17.00 / 28 OCT 2019…………รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมตรวจเยี่ยมการดำเนินงานและมอบนโยบายแก่การบินไทยวันนี้ (28 ตุลาคม 2562) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะตรวจเยี่ยมการดำเนินงานพร้อมมอบนโยบายแก่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานกรรมการบริษัท การบินไทยฯ คณะกรรมการบริษัทฯ นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และฝ่ายบริหาร บริษัท การบินไทยฯ ร่วมประชุมหารือและให้การต้อนรับ ณ สำนักงานใหญ่ การบินไทยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ของการบินไทยท่ามกลางปัญหาที่สะสมมาหลายยุคสมัยจากปัจจัยภายนอกมากมาย และการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจการบินโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบนโยบายเพื่อฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดการบินโลก โดยบริษัท การบินไทยฯ ต้องหาPosition ของตนเองในอุตสาหกรรมการบินโลกให้ชัดเจน เพื่อสร้างมาตรฐานการบริการให้กลับมาเป็นสายการบินชั้นนำของโลกดังที่เคยเป็นมาในอดีต (Brand Rejuvenation) หาจุดแข็งและสร้างความแข็งแกร่งเพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า การวางตำแหน่งทางการตลาดทั้งราคาและคุณภาพการให้บริการให้สามารถแข่งขันกับสายการบินชั้นนำของโลก มีการตรวจสอบคุณภาพการให้บริการอย่างสม่ำเสมอโดยให้ความสำคัญกับการรับฟังความเห็นของผู้ใช้บริการผ่านช่องทาง Social Media อีกทั้งเน้นย้ำถึงการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (Optimizing Resources) ด้วยการสร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ เน้นการจัดลำดับความสำคัญและกำหนดสัดส่วนของการลงทุนให้สอดคล้องกับกลยุทธ์และสถานะของบริษัทฯ โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับสายการบินชั้นนำของโลก รวมทั้งทบทวน Positioning ของบริษัทฯ เพื่อกำหนดเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน เน้นการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ โดยให้การบินไทยทบทวนนโยบายดังกล่าว และนำเสนอกระทรวงคมนาคมภายใน 3 เดือน พร้อมกันนี้ทางกระทรวงคมนาคมยินดีที่จะประสานงานจัดตั้งคณะทำงานและแก้ปัญหาร่วมกันแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยด้านการรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดยให้พิจารณาพื้นที่ในบริเวณท่าอากาศยานให้แก่ บริษัท การบินไทยฯ ในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้เหมาะสมกับการเป็นสายการบินแห่งชาติ พร้อมกับสนับสนุนกิจกรรมด้านการตลาดต่างๆสำหรับการดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสู่ประเทศไทยให้มากขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไทยต่อไปทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวสรุปว่ามีความเชื่อมั่นในประธานกรรมการบริษัทฯ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ พร้อมผู้บริหารการบินไทยที่จะสามารถดำเนินการตามแผน และฟื้นฟูการบินไทยให้กลับมามีผลประกอบการดีขึ้น และเป็นสายการบินชั้นนำของโลกต่อไปนายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทยฯ พร้อมรับนโยบายเพื่อนำไปสู่การดำเนินงานอย่างเต็มความสามารถรวมทั้งแก้ปัญหาการขาดทุนสะสมเพื่อให้มีกำไรอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมาบริษัทฯ ประสบปัญหาจากการขาดทุนสะสม จึงมีการกำหนดแผนฟื้นฟูเร่งด่วนภายในสิ้นปี 2562 ในส่วนของการเพิ่มรายได้บริษัทฯ จะเร่งดำเนินการขายบัตรโดยสารในแต่ละเที่ยวบินให้มากที่สุดโดยใช้เทคโนโลยี Big Data และ Data Analytic มาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ตลาด เร่งรัดหารายได้ด้าน E-Commerce รวมทั้งควบคุมและลดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ได้จัดทำแผนระยะกลางตั้งแต่ปี 2563 – 2567 ซึ่งจะมีแผนเพิ่มรายได้ อาทิ การเน้นธุรกิจสนับสนุนธุรกิจการบิน ประกอบด้วย ธุรกิจครัวการบิน ธุรกิจขนส่งสินค้า และธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับการขนส่ง เช่น E-Commerce วิเคราะห์และวางแผนเส้นทางการบินใหม่ โดยวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของตลาดและฝูงบินที่บริษัทฯ มีอยู่รวมทั้งใช้ Digital Marketing เพื่อปรับรูปแบบการขายโดยใช้ Online Sales ให้ได้มากที่สุดอีกทั้งบูรณาการการทำงานกับองค์กรภาครัฐที่เกี่ยวเนื่องอาทิ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น ขณะเดียวกัน จะเร่งดำเนินการควบคุมและลดค่าใช้จ่าย อาทิ วางแผนการจัดซื้อจัดจ้างโดยมุ่งเน้นการลดจัดซื้อจัดจ้างลง 10% จากปีก่อนและวิเคราะห์กระบวนการทำงานทั้งระบบรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อาทิ Digital Transformation พัฒนาระบบดิจิทัลสารสนเทศ แผนการจัดหาเครื่องบิน ควบคุมติดตามแผนการจำหน่ายเครื่องบินที่ปลดระวาง พร้อมปรับปรุงโครงสร้างขององค์กรให้มีประสิทธิภาพนอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินโครงการสำคัญต่างๆ ดังนี้1. โครงการจัดหาเครื่องบินปี 2562-2569 ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้ฝ่ายบริหารทบทวนสมมติฐานในโครงการจัดหาเครื่องบินเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการบินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งทบทวนพิจารณาการจัดหาแหล่งเงินทุนให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ล่าสุดของบริษัทฯ เพื่อประโยชน์สูงสุดขององค์กรและประเทศชาติ โดยให้นำเสนอคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้งภายใน 6 เดือน ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ กำลังเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน 2. การดำเนินงานด้วยนวัตกรรมและดิจิทัลเทคโนโลยี นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ โดยจัดทำโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ Airline Digital Transformationโครงการพัฒนาศักยภาพการขาย และจัดจำหน่ายผ่าน Digitalizationโครงการ Customer Big Data และ Corporate Business Analytic โครงการบริหารจัดการศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการ โครงการจัดหาระบบติดตามและบริหารจัดการอุปกรณ์บริการภาคพื้นโครงการปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลังโดยใช้ระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย3. การเปิดเส้นทางบินใหม่ โดยจะเปิดเส้นทางบินสู่เซนได ประเทศญี่ปุ่น ศูนย์กลางภูมิภาคโทโฮคุ โดยทำการบินเที่ยวบินแรกในวันที่ 29 ตุลาคม 2562 โดยทำการบิน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ 4. ความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยจัดทำแคมเปญร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบ 60 ปี การบินไทย และ 60 ปี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองโดยแพ็กเกจทัวร์เอื้องหลวง อีกทั้งร่วมมือในการจัดตั้งDigital Tourism Platform และ Big Data ของนักท่องเที่ยว…………
เมื่ออ่านจากเอกสารเวียนภายในการบินไทยจะพบว่า นายเอกนิติไม่ได้กล่าวอะไรอย่างเป็นทางการกับรัฐมนตรีว่าการฯ และช่วยว่าการฯ ในวันดังกล่าว แต่หลังจากการตรวจเยี่ยมครั้งนั้นเพียง 3 วัน นายเอกนิติก็ตัดสินใจลาออก
อย่างไรก็ตาม เมื่อประธานบอร์ดการบินไทยลาออกแล้ว ก็มีคำถามตามมาว่า กรรมการรายอื่นๆ ของการบินไทยจะยังอยู่ในตำแหน่งต่อไปกระนั้นหรือ ในที่นี้ยกเว้นบอร์ดรายหนึ่งคือ นายปิติพันธ์ เทพปฏิมากรณ์ได้ขอลาออกจากการเป็นบอร์ดการบินไทย โดยส่งหนังสือแจ้งเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 โดยมีผลในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 แต่เท่าที่ผู้เขียนทราบนั้น ในขณะนี้ยังไม่เห็นว่าบอร์ดรายอื่นๆ ของการบินไทยจะขอลาออก ก็ในเมื่อเห็นชัดเจนว่าประธานบอร์ดลาออกไปแล้วแล้วเหตุใดบอร์ดทั้งชุดจึงยังไม่ยอมลาออก ถึงแม้จะไม่มีกฎตายตัวว่าต้องลาออก แต่ก็ถือเป็นมารยาทที่บอร์ดแต่ละคนจำเป็นต้องรู้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องให้มีใครไปบอก หรือว่าจะต้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมพูดอะไรมากไปกว่านี้ กระนั้นหรือ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี