ประเทศไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมืองมาตั้งแต่ยุคระบอบทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศหลังการเลือกตั้งทั่วไปปี 2544 เป็นต้นมา ผลแห่งความขัดแย้งต่างๆ ทำให้ประชาชนคนไทยเกิดความขัดแย้งแตกออกไปเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายสนับสนุนระบอบทักษิณและฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณจนบานปลายเป็นประเทศที่ล้มเหลว ทำให้กองทัพต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยการรัฐประหารล้มรัฐบาลในระบอบทักษิณถึง 2 ครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกในวันที่ 19 กันยายน 2549 และครั้งที่ 2 ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ผลของการรัฐประหารทำให้ประเทศเกิดรัฐธรรมนูญใหม่ 2 ฉบับ คือ ฉบับปี 2550 และฉบับปี 2560 ซึ่งเป็นฉบับหลังสุดมีผลประกาศใช้ในวันที่ 6 เมษายน 2560 และเมื่อมีการสำรวจประชามติของประชาชนคนไทย โดยมีประชาชนเห็นชอบรับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็นจำนวน ร้อยละ 61.35 ของผู้มาออกเสียงทั้งหมดเท่ากับ 16,820,402 คน ผู้ที่ไม่ยอมรับร้อยละ 38.65 เท่ากับ 10,598,037 คน
หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้มาเป็นระยะเวลา 2 ปี 7 เดือน ก็มีความเคลื่อนไหวจากพรรคการเมืองระบอบทักษิณ 7 พรรค จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยอ้างเหตุผลฝ่ายตนว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ไม่เป็นประชาธิปไตยในขณะที่พรรคฝ่ายรัฐบาลจำนวน 18 พรรคยังไม่ขอแก้ไขเพราะที่จริงบทเฉพาะกาลรวม 18 มาตรา ตั้งแต่มาตรา 262 ถึง 279 ก็จะไม่มีสภาพบังคับใช้ในปี 2566 ทั้งหมดอยู่แล้ว
ด้านศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-25 ตุลาคม 2562 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,253 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคาดหวังของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยหลังการเลือกตั้ง พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 35.44 ระบุว่า ความขัดแย้งทางการเมืองจะเพิ่มขึ้น รองลงมา ร้อยละ 31.36
ระบุว่า ความขัดแย้งทางการเมืองจะเท่าเดิม ร้อยละ 23.94 ระบุว่า ความขัดแย้งทางการเมืองจะลดลง ร้อยละ 7.18 ระบุว่า จะไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองอีกแล้ว และร้อยละ 2.08 ระบุว่า ไม่ตอบและไม่สนใจ
สาเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่หลังการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 48.34 ระบุว่าเป็นการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง รองลงมาร้อยละ 42.19 ระบุว่าผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวร้อยละ 32.64 ระบุว่า อุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันร้อยละ 14.04 ระบุว่าความเป็นฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลร้อยละ 12.87 ระบุว่าเป็นความขัดแย้งส่วนบุคคล
ความขัดแย้งทางการเมืองนั้นมีอยู่ด้วยกันทุกประเทศถ้าทุกฝ่ายมีความอดทนอดกลั้นรู้จักคำว่าแพ้เป็นและชนะเป็นปัญหาก็จะไม่รุนแรงนักการเมืองต้องเสียสละอดทนเพราะในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นไม่มีใครจะชนะได้ตลอดไปหรือว่าแพ้ตลอดไป ถ้านักการเมืองมีหิริโอตตัปปะบ้านเมืองก็จะสงบสุขและไม่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองอย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี