สถานการณ์ล่าสุดดูเหมือนว่าพรรคการเมืองต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันที่จะให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560
ทั้งยังมีการระบุชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้มาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญดังกล่าว และดูเหมือนว่าพรรคการเมืองต่างๆ ส่วนใหญ่ก็มีความเห็นพ้องกันในทิศทางนี้
ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานเรื่องนี้บังเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ประเทศชาติและประชาชนจึงสมควรที่จะทำความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นพื้นฐานแห่งความเข้าใจร่วมกันของผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย โดยเฉพาะประชาชนชาวไทยที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
เพราะว่ากระบวนการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นได้มีการปลุกเสกลงเลขยันต์ไว้แน่นหนา ราวกับว่ารัฐธรรมนูญนี้เป็นผีตายโหงที่ดุร้ายนักหนา จึงต้องลงยันต์ลงตราสังไว้ไม่ให้กระดิกกระเดี้ยได้ ดังนั้นทุกพรรคการเมืองและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายโดยเฉพาะประชาชนชาวไทยทั่วประเทศที่ต้องรับชะตากรรมร่วมกันจะต้องผนึกความคิดอ่านให้มีการปรองดองสมานฉันท์เพื่อทำการเรื่องนี้ให้สำเร็จดังประสงค์
ประการแรก ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่าในระยะเวลาเกือบ 40 ปีมานี้ แม้ว่าจะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่หลายฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผลมาจากการรัฐประหาร และมีส่วนน้อยที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบางมาตรา แม้บางครั้งมีความพยายามจะแก้ไข แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเกิดขึ้นจากน้ำมือ
ของคณะนักร่างรัฐธรรมนูญที่มีแกนหลักเพียงสามคนเท่านั้น
ดังนั้นยิ่งแก้ไขมากครั้งเท่าใด แกนหลักของคณะนักร่างรัฐธรรมนูญก็มีฤทธิ์เดชมีอำนาจอิทธิพลต่อความเป็นไป
ในบ้านเมืองมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นที่วางหมากวางกลให้ดำรงตำแหน่งสารพัดตำแหน่งได้ตลอดชีวิต แม้กระทั่งไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน รวมทั้งวางเครือข่ายเพื่อค้ำจุนอำนาจอย่างแน่นหนา
ถึงต่อให้ใครปฏิวัติรัฐประหารสักกี่ครั้งก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่มองอะไรไม่เห็น ต้องอาศัยไม้เท้าหรือสุนัขนำทาง
แต่หนักหนาสาหัสกว่า เพราะไม้เท้าหรือสุนัขนำทางของคนตาบอดนั้นไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ต่างก็ทำภารกิจของตนไปตามหน้าที่ ไม่มีอภินิหารแทรกซ้อนหรือลีลาที่จะบงการชักนำด้วยประการต่างๆ ดังที่เห็นประจักษ์กันอยู่แล้วว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปีมานี้ อำนาจในบ้านเมืองนี้ไม่เคยหลุดไปจากมือของคณะนักร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้เลย และยังมีทีท่าว่าจะสืบทอดอำนาจต่อไปตราบเท่า 20 ปี เท่ากับระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติประหนึ่งว่าจะผูกขาดอำนาจไปจนกว่าอายุร้อยกว่าปีหรืออย่างไร
พิษภัยของรัฐธรรมนูญ 2560 ในปัจจุบันนี้ก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปแล้ว และการจะทำให้ชีวิตของรัฐธรรมนูญ 2560 ดำรงคงอยู่ต่อไปก็จะต้องอาศัยกระบวนกลไกอำนาจรัฐและกระบวนการยุติธรรมทั้งหลาย รวมทั้งความศักดิ์สิทธิ์ของขื่อแปบ้านเมืองทั้งหมดเพื่อหล่อเลี้ยงอำนาจนั้นไว้ และนั่นก็หมายถึงการ
พังทลายของระบอบและระบบทั้งหลายของประเทศนี้
ประการที่สอง เพราะมีความยอกย้อนซับซ้อนซ่อนเงื่อนพิลึกพิลั่นยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญใดๆ ดังนั้นจึงมีปัญหาทุกขั้นทุกตอนทุกกระบวนการ แม้ขนาดยังไม่ทันประกาศใช้ก็ยังต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความถึงสองครั้ง แม้เมื่อมีการลงประชามติซึ่งปกติห้ามมิให้มีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแล้วก็ยังต้องแก้ไขในเนื้อหาสำคัญอีกหนึ่งครั้ง และหลังจากนั้นก็ยังมีปัญหาต้องตีความกันอีกหลายครั้ง จนกระทั่งดูเหมือนว่าแทบทุกบทมาตราถ้าจะยกปัญหาขึ้นแสดงก็จะเป็นปัญหาที่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความด้วยกันทั้งสิ้น และนั่นก็หมายถึงสารพัดปัญหาที่แฝงฝังอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2560 นี้ ซึ่งใครเล่าจะรู้ว่าสิ่งที่แฝงฝังไว้นั้นจะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อบ้านเมืองมากน้อยสักแค่ไหน
ไม่เห็นหรือว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ไม่รู้จะใช้รัฐธรรมนูญอย่างไรให้ถูกต้องมั่นใจ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่ต้องอาศัยไม้เท้าดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง แล้วจะปล่อยให้ประเทศชาติและผู้นำรัฐบาลในอนาคตจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปหรืออย่างไร
ประการที่สาม ก็ต้องยอมรับความจริงได้แล้วว่ามีการบิดเบือนหลักการแห่งประชาธิปไตยที่หนักหนาสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญของโลก ดังเช่น
ข้อแรก กลไกอำนาจนิติบัญญัติ โดยเฉพาะ สว. ซึ่งมีหน้าที่ต้องกำกับควบคุมดูแลการทำงานของทั้งรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร กลับถูกบิดเบือนหลักการให้วิปริตชนิดที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ นั่นคือให้ สว. เป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี และ
กลายเป็นฐานค้ำยันอำนาจให้กับฝ่ายบริหาร จนบางคนก็หลงผิดคิดว่าเป็นลิ่วล้อหรือคนรับใช้รัฐบาล จนงุนงงสงสัยกันทั้งประเทศ
ข้อสอง บรรดาองค์กรอิสระทั้งหลายที่จะต้องมีความเป็นกลาง มีความสุจริตและเที่ยงธรรมเป็นที่ประจักษ์ รวมทั้งบรรดาผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในทางราชการ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาก่อน ดังนั้นใครก็ตามที่ผู้มีอำนาจไม่เออออห่อหมกด้วย ต่อให้มีคุณสมบัติครบถ้วนเป็นที่ประจักษ์ชัดและสามารถเป็นกำลังของชาติบ้านเมืองสักเท่าใดก็ไม่มีทางที่จะได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกวุฒิสภาได้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณจากอำนาจให้เห็นชอบ เพราะเหตุนี้ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทั้งในวงการตุลาการและองค์กรอิสระทั้งหลายจึงกลายเป็นเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งสภาพเช่นนี้ในไม่ช้าบ้านเมืองของเราก็ไม่ต่างกับระบอบการปกครองของกัมพูชา หรืออีกบางประเทศที่เห็นๆ กันอยู่
ข้อสาม สิ่งที่คนทั้งหลายคาดคิดไม่ถึงก็คือ มีการวางกลแฝงกระบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองอันจะก้าวไปสู่การปกครองระบอบสาธารณรัฐอย่างแยบยล สิ่งที่เคยผลักดันมานับสิบปีแต่ไม่เคยสำเร็จกลับมาปรากฏขึ้นในครั้งนี้ นั่นคือได้มีการแฝงสิ่งที่เรียกว่าคะแนนเสียงแบบ popular vote ซึ่งเป็นระบบการคำนวณคะแนนเสียงในระบอบสาธารณรัฐให้มาปรากฏไว้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งก็คือรุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ
ดังนั้นถ้าจะกล่าวหาใครว่าล้มเจ้าก็ต้องศึกษาและทำความเข้าใจการแฝงฝังเรื่องนี้ไว้ให้ดีเสียก่อนจะดีกว่า เพราะมิฉะนั้นก็จะกลายเป็นว่าถูกหลอกให้กลัวเสือที่ดูเหมือนมีเงาอยู่หน้าบ้านแต่แท้จริงปิศาจร้ายได้มาแอบอยู่ที่ประตูหลังบ้านแล้ว อันควรที่ผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองจะได้พินิจพิเคราะห์ให้จงหนัก
ประการที่สี่ เป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ฝ่าฝืนพระบรมราโชวาทว่าด้วยการร่างรัฐธรรมนูญที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้อย่างโจ่งแจ้งที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่พระราชทานพระบรมราโชวาทในเรื่องนี้ไว้แล้วมีการนำมาปฏิบัติแม้แต่เรื่องเดียว และเพราะเหตุนี้จึงทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหามากที่สุดกว่าทุกฉบับที่ผ่านมา
ไม่ต้องอื่นไกล เอากันแค่มาตรา 1 ที่พูดกันมากว่าแก้ไขไม่ได้นั้น แล้วเวลาปฏิบัติจริงเป็นอย่างไรเล่า การจัดตั้ง EEC ที่คณะกรรมการบริหารมีอำนาจพิเศษที่จะยกแผ่นดินประเทศไทยให้ใครเช่า 99 ปี แบบที่นักล่าอาณานิคมเคยใช้เรือปืนบังคับพระเจ้าแผ่นดินในเอเชียในอดีตก็เกิดขึ้นให้เห็นตำตามิใช่หรือ นอกจากนั้น ยังมีอำนาจพิเศษที่จะยกเว้นภาษีระยะยาวนานถึง 15 ปี ยิ่งกว่าสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เมื่อประกอบเข้ากับระบบการทำความตกลงให้ต้องส่งข้อพิพาทแก่อนุญาโตตุลาการในต่างประเทศ สภาพก็ยิ่งกว่าตกอยู่ในสภาพบังคับของสัญญาเบาริ่งในยุคล่าอาณานิคมมากนั้น
ประการที่ห้า จะมีใครสักกี่คนที่ตั้งข้อศึกษาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่ารัฐธรรมนูญ 2560 นี้ได้ลิดรอนพระราชอำนาจและกีดกันบังคับพระมหากษัตริย์สักเพียงไหน พระราชอำนาจในฐานะประมุขแห่งรัฐเป็นอย่างไร ซึ่งไม่อยากกล่าว
ลงรายละเอียดในที่นี้
ยกตัวอย่างแค่กรณีเดียวก็คือ พระมหากษัตริย์แม้จะมีพระราชหัตถเลขา ก็บังคับว่าต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการซึ่งขัดกันอยู่ในตัว เพราะพระราชหัตถเลขานั้นไม่ใช่พระบรมราชโองการ แล้วกงการอะไรที่ต้องให้รัฐมนตรีมารับสนองพระบรมราชโองการนั้น
ประการที่หก เป็นรัฐธรรมนูญที่รกรุงรังไปด้วยเรื่องสองเรื่อง คือเรื่องคุณสมบัติที่กำหนดทั้งคุณสมบัติบังคับและลักษณะต้องห้าม รวมทั้งข้อยกเว้นที่วกวนซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งกว่าทางไปเขาวงกตในวรรณคดี รวมทั้งเรื่องการประชุมสารพัดและอาจแถมด้วยเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณต่างๆ ซึ่งรวมเนื้อความเหล่านี้แล้วล่อแหลมที่ใครต่อใครจะต้องทำผิดรัฐธรรมนูญด้วยกันทั้งสิ้น เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงทั้งในด้านบุคคล ทั้งในด้านการทำงานและเป็นจุดก่อเกิดปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองอันต้องนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดข้อครหาว่ากฎหมายบ้านเมืองนี้ใช้บังคับกับทุกคนที่ไม่ใช่พวกกู ซึ่งไม่เคยมีสภาพทุเรศทุรังดังนี้มาก่อนเลย ซึ่งเรื่องในประการนี้สามารถแยกออกไปตราไว้ต่างหากนอกรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้เนื้อหาของรัฐธรรมนูญเหลือเพียงไม่กี่มาตรา
ประการที่เจ็ด อำนาจของประมุขของรัฐ ของจอมทัพไทยอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการและองค์กรอิสระสับสนขัดแย้งและก่อเกิดปัญหาจนทำอะไรแทบไม่ได้ นอกจากจะต้องใช้อำนาจเผด็จการทั้งทางลับทางเปิดจึงจะทำงานได้
ดังนั้นจึงควรได้พิจารณาศึกษาอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขให้บังเกิดประโยชน์ที่สุดแก่ชาติบ้านเมืองต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี