การประชุมสุดยอดอาเซียนที่เพิ่งผ่านไป คงจะเป็นบทพิสูจน์สำคัญที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยได้กลับมามีสถานะเป็นที่ยอมรับจากสังคมโลกอีกครั้ง และยังถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ต่อจากนี้ เราอาจได้เห็นการเจรจาและการขยายความร่วมมือกับต่างประเทศมากขึ้นภายใต้รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์
บทบาทการเป็นประธานอาเซียนของไทยนับเป็นภารกิจที่ท้าทายตั้งแต่วันแรกของการเข้ารับตำแหน่ง ด้วยอุปสรรคนานัปการในขณะนั้น ทั้งเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง และการเป็นที่ยอมรับของนานาชาติซึ่งนับว่ายังน่าเป็นห่วงด้วยสถานะของรัฐบาล คสช. ในขณะนั้น ตลอดจนความวิตกว่าเวทีการประชุมจะถูกละเลงด้วยปัญหาการเมืองแบบที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2552 เหล่านี้ทำให้หลายคนเป็นกังวล และไม่เชื่อนักว่ารัฐบาลจะแบกรับงานหินเช่นนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง?
อย่างไรก็ตาม หลายคนก็ดูจะใจชื้นขึ้น หลังจากการประชุมสุดยอดในช่วงกลางปีที่ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย หลังจากนั้นความเชื่อมั่นในรัฐบาลก็ดูจะปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้ไปเข้าร่วมในการประชุมระหว่างประเทศที่มีความสำคัญทั้งการประชุม G20 และการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ จนกระทั่งการประชุมใหญ่ท้ายปีอย่างอาเซียนซัมมิท ที่ก็จบลงอย่างสวยงาม สอดรับกับข่าวดีที่ประเทศไทยพึ่งได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อจากบริษัทจัดอันดับของญี่ปุ่นจาก BBB+ เป็น A-
ทั้งนี้ แม้ประเทศไทยจะทำได้ดีกับการเป็นประธานอาเซียน แต่ในงานประชุมที่เกิดขึ้นก็มีประเด็นที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง นั่นก็คือบุคคลที่หลายคนจับตามองอย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ไม่ได้ร่วมเดินทางมาประชุมด้วย กลับกันกับทางจีน ที่ส่ง หลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีมาเป็นแขกให้กับรัฐบาลไทย ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าทิศทางเศรษฐกิจ และกระแสการเมืองกำลังเปลี่ยนศูนย์กลางภูมิภาคใหม่ใช่หรือไม่? ซึ่งด้วยเหตุข้างต้น ทำให้หลายฝ่ายต่างก็จับจ้องภารกิจด้านการต่างประเทศอื่นๆ ที่ใกล้เข้ามาและสำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือ การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม ได้นำหน้าไทยไปหนึ่งก้าวแล้ว
โดยการเจรจา FTA กับอียูนอกจากจะเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลแล้ว ยังนับว่าเป็นบททดสอบใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งก็คงต้องติดตามต่อไปว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่? ขณะที่การเจรจากับสหรัฐฯ เรื่องสิทธิทางภาษีหรือ GSP นั้น ในอาเซียนซัมมิทที่ผ่านมา ประเทศไทยก็ได้มีการหารือในระดับทวิภาคีกับสหรัฐฯ ในเรื่องนี้เช่นกัน โดยทางสหรัฐฯ ยืนยันว่าพร้อมที่จะให้มีการเจรจาทบทวนระหว่างกันฉะนั้นแล้วนักวิเคราะห์จึงมองว่าสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่น่าหวั่นวิตกอย่างที่หลายคนคิด? และเชื่อว่าบทสรุปที่แท้จริงน่าจะอยู่ที่การเจรจาหลังจากนี้ว่าไทยจะสามารถดึง GSP กลับมาได้หรือไม่?
ทว่าหากมองตามความเป็นจริง การต่างประเทศของไทยในยุค พล.อ.ประยุทธ์ ในรัฐบาลก่อนก็คงจะไม่ได้หวือหวาหรือเต็มไปด้วยบทบาทนำ ซึ่งก็นับเป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดก็คงออกมาเป็นเช่นนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องน่าชื่นชมคงเป็นเรื่องการพลิกฟื้นสถานะของประเทศ จากการเป็นประเทศที่ขาดการยอมรับจากการรัฐประหารมาสู่การเป็นประเทศที่เป็นที่สนใจของโลกอีกครั้งภายใต้นายกฯคนเดิมแต่รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้หากประมวลภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตลอดปีที่ผ่านมาก็คงถือว่า รัฐบาลสอบผ่าน แต่ก็ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นความท้าทายในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งการเจรจากับสหภาพยุโรป การเจรจากับสหราชอาณาจักรหลังถอนตัวจากสหภาพยุโรป ตลอดจนการรับมือสงครามการค้าและปัญหาในอนาคตที่ตามมา โดยเฉพาะการพัฒนาความสัมพันธ์กับจีนที่ถือว่าก้าวหน้าอย่างมาก อย่างไรก็ตามก็นับว่ารัฐบาลยังต้องผ่านอีกหลายบทพิสูจน์
กลับมาที่การเมืองภายในประเทศ ขณะที่พรรคฝ่ายค้านวิ่งไล่แก้เกมการเมืองอลหม่านทั้งภายในและภายนอก ไม่ว่าทั้งพรรคเพื่อไทย ที่ยังวนเวียนขั้วอำนาจภายในอยู่ หรือทั้งพรรคอนาคตใหม่ที่เกิดกระแสต่อต้านภายใน ด้วยเหล่าลูกพรรคที่ลาออกด้วยข้อกล่าวหาไม่ทำตามสัจจะที่หัวหน้าพรรคเคยให้ไว้? รวมไปถึงปัญหาอื่น ๆ ที่ทยอยซัดเข้ามาเป็นระลอก ตามที่ได้เคยกล่าวไว้ในครั้งก่อน ซึ่งในเวลาเดียวกันนี้พรรคประชาธิปัตย์กลับชิงจังหวะนำเสนอแก้รัฐธรรมนูญ โดยชูนายอภิสิทธิ์ จองนั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องดังกล่าว ถือเป็นเรื่องใหญ่ และอาจก่อให้เกิดผลกระทบในด้านต่างๆ ขึ้นและอาจยังผลไปถึงพรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้านด้วยหรือไม่? โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างก็วิเคราะห์ท่าทีของขั้วต่างๆทางการเมืองไว้ 2 ประเด็นนั่นคือ
อย่างที่หนึ่ง อาการของซีกพรรคฝ่ายค้าน อย่างพรรคเพื่อไทย ที่ภายหลังกระแสออกมาว่านายอภิสิทธิ์ เตรียมนั่งเก้าอี้ประธาน นำทีมแก้รัฐธรรมนูญนั้น ก็ดูทางพรรคเพื่อไทยไม่ขัดข้องอะไร? หากสังเกตจากคำให้สัมภาษณ์กับสื่อของโฆษกพรรคเพื่อไทย เพียงแค่ย้ำว่าต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนเท่านั้น และยิ่งนับมานับรวมกับท่าทีของ สส. ในพรรคอย่างนายแพทย์ชลน่าน ที่ออกมาเสนอแนะให้เกิดความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งสมาชิกวุฒิสภาและรวมถึงนายกฯประยุทธ์ ด้วย ซึ่งหลายฝ่ายก็ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจไว้ว่าเป็นอาการที่เรียบร้อยที่ปกติหรือไม่ หรืออาจมุ่งเป้าเพื่อให้ได้แก้รัฐธรรมนูญก่อน ใช่หรือไม่?
ประการถัดมา คืออาการในทิศทางกลับกันของพรรคพลังประชารัฐ หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล ที่นายสนธิรัตน์ได้ให้สัมภาษณ์ออกสื่อว่า ควรเป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องมาพูดคุยกันก่อน ซึ่งจากท่าทีดังกล่าว น่าสนใจว่าภายในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ น่าจะมองเห็นอะไรบางอย่างหากปล่อยให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นแท่น นำทีมรื้อรัฐธรรมนูญได้เองใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตามท่าทีในทิศทางตรงข้ามกันของซีกฝ่ายค้าน กับซีกรัฐบาลก็ยังไม่น่ากังวลเท่าท่าทีที่ในตอนนี้ยังมองไม่เห็น แต่หากเกิดขึ้นก็ดูจะน่าเป็นห่วงสำหรับพรรคประชาธิปัตย์เอง นั่นก็คือ ท่าทีของหัวหน้าพรรคอย่างนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ต่อการเข้ามามีบทบาทนำของนายอภิสิทธิ์ ที่อาจได้รับมอบหมายจากทุกฝ่ายให้ถือธงอัศวินผู้รื้อรัฐธรรมนูญ? จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในขั้วอำนาจพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่ ตลอดจนกระแสหรือความคิดของประชาชนในอนาคต
ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั้น น่าสนใจว่ากรอบเวลาของการเลือกตั้งท้องถิ่นเองก็ใกล้ขึ้นมาทุกขณะแล้ว ซึ่งในตอนนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และงบประมาณของท้องถิ่น ซึ่งถ้าทั้งสองส่วนพร้อมแล้วก็จะเป็นหน้าที่ของ ครม. ในการพิจารณาจัดตั้ง ซึ่งสนามการเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้หลายฝ่ายคาดกันว่าเป็นการวัดความพร้อมในการจัดทัพลุยศึก ซึ่งสุดท้ายจะกลายเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการพลิกเกมการเมืองหรือไม่? ต้องติดตามต่อไป
“…ความรักเป็นสิ่งงดงาม
งดงามประหนึ่งดอกกุหลาบ แต่ทว่ามันมีหนาม
กุหลาบที่ไร้หนามในโลกนี้ มีเพียงสิ่งเดียว คือมิตรภาพ…”
โกวเล้ง จากเรื่อง มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี