ในบทความตอนที่ผ่านมา ผมได้เขียนถึงแรงบันดาลใจของ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ในการทำวิจัยต่อต้านคอร์รัปชัน ที่เกิดจากการทำความเข้าใจบริบทจริงในสังคมไทย รวมไปถึงแรงจูงใจของตัวแสดงต่างๆ ที่อาจใช้ช่องโหว่ของการมีกฎระเบียบจำนวนมาก ใช้อำนาจจัดเก็บภาษีไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้มหาศาล นำมาซึ่งข้อเสนอของดร.เดือนเด่น ให้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีบางชนิดเพื่อปิดจุดอ่อนต่อการทุจริตคอร์รัปชัน ในตอนที่สองนี้จะเป็นการถอดความหมายของ “คอร์รัปชัน” และ บทเรียนประสบการณ์ของ ดร.เดือนเด่น ในการทำวิจัยเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่นักต่อสู้ นักวิชาการ นักวิจัย และคนรุ่นต่อไปอาจจะเผชิญในอนาคต
“…คอร์รัปชัน คือ การใช้อำนาจในตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้องถ้าเราใช้อำนาจที่เรามีไปในทางที่ไม่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าคอร์รัปชัน เช่นถ้าสมมุติว่ามีคนฝากเด็กเข้าทำงานที่ TDRIเป็นนักวิจัยที่เก่งมาก จบปริญญาเอกมา ดิฉันก็จะไม่รับฝาก แม้ว่าเขาจะเก่งจริงๆ เพราะเรามีคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องการรับคนอยู่แล้ว หรือในกรณีที่ดิฉันแนะนำให้คนอื่นมาสมัครงาน ก็จะต้องแจ้งต่อคณะกรรมการว่าเราเป็นคนแนะนำ แล้วถอนตัวจากกระบวนการรับนักวิจัย เพื่อป้องกันการขัดกันของผลประโยชน์ภายในองค์กร
โครงการวิจัยแรกๆที่ TDRI ตกเป็นเป้า คือ โครงการศึกษาการแปลงสัญญาโทรคมนาคม ช่วงนั้นเราโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะผลการศึกษาพบว่าการแปลงสัญญาดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อการที่รัฐจะเสียผลประโยชน์หลายประการ รวมไปถึงการถูกฟ้องหมิ่นประมาทจากภาครัฐ เนื่องจากการเขียนบทความวิจารณ์บางหน่วยงาน ดิฉันคิดว่ามันมีความน่ากลัวอยู่ แต่ถ้าเราทำวิจัยไประดับหนึ่ง เราจะกลายเป็นคนที่หลายคนรู้จัก มีหลายองค์กรที่คอยเป็นห่วงและให้ความช่วยเหลือเรา เช่น ตอนที่ดิฉันถูกฟ้อง คนที่ฟ้องมักคิดว่าเราไม่มีแรงผลักดันทางสังคมสนับสนุน เขาก็โดนทุกองค์กรวิพากษ์วิจารณ์กลับหมด
คนที่ทำวิจัยด้านนี้จะต้องสร้างทุนทางสังคมให้เร็วที่สุด เพราะสังคมจะคอยหนุนหลังให้เรามีแรงผลักดัน ถ้าเกิดเราไม่มีสังคมคอยหนุน แล้วเราวิจารณ์เขาอย่างหนักหน่วง เราอาจจะโดนอุ้มหายไปก็ได้ เพราะฉะนั้นการจะทำวิจัยเรื่องคอร์รัปชันต้องทำกันหลายๆ คนเป็นหมู่คณะ จะเป็นการลดความเสี่ยงต่อการที่เขาจะฟ้องร้อง เพราะการที่เขาจะฟ้องร้องก็ต้องมีการคำนวณต้นทุนแล้วว่าคุ้มหรือไม่ ในสิ่งที่คนฟ้องจะเผชิญแรงกดดันในภายหลัง
สิ่งที่ดิฉันพบจากการทำวิจัยและทำได้ง่ายกว่าการขุดคุ้ยความลึกลับซับซ้อนของคอร์รัปชัน คือ การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ ถ้าหากมีการเปิดเผยข้อมูลแล้วจะให้ป้องกันการทุจริตได้ในหลายกรณี ปัจจุบันข้อมูลเป็นสิ่งที่มีพลังมากที่สุด เช่น การซื้อขายสินค้าเกษตรระหว่างรัฐบาลสองประเทศ หรือ G2G เป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลซื้อขายสินค้ากันโดยที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เมื่อคนเข้าถึงข้อมูลไม่ได้แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเลขที่รัฐบาลบอกเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราส่งออกจริงหรือไม่ สินค้ามีอยู่ในไซโลกี่ตัน เพราะฉะนั้นการที่ไม่เปิดเผยข้อมูลให้กับสังคมจึงเป็นความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดคอร์รัปชันอย่างมาก
ปัจจุบันก็มีการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐมากขึ้น TDRI ได้เคยศึกษาการตัดสินคดีทุจริตย้อนหลังไปจนปี 2530 พบว่า มีการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างมากที่สุด แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายสิบปี เราเลยขอข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างจากกรมบัญชีกลาง นำมาวิเคราะห์การแข่งขันของบริษัทว่าแต่ละโครงการชนะกันเท่าไหร่ การกระจุกตัวของการจัดซื้อจัดจ้าง ไปจนถึงการวิเคราะห์ว่าแต่ละบริษัทนั้นได้งานจัดซื้อจัดจ้างไปกี่บาท ที่ผ่านมาเรามักจะแก้ปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างโดยการแก้ไขกฎหมาย แต่จากการที่เราได้สัมภาษณ์ผู้รับเหมารายใหญ่รายหนึ่งก็ได้ข้อมูลว่า ต่อให้แก้กฎระเบียบให้หนาเท่ากับตึก 10 ชั้นก็ไม่มีปัญหา
เพราะท้ายที่สุดการตัดสินอยู่ที่ดุลยพินิจของคณะกรรมการอยู่ดี เพราะฉะนั้นการจัดซื้อจัดจ้างไม่จำเป็นต้องเขียนกฎระเบียบให้เยอะมาก แต่ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลให้มากที่สุด ตั้งแต่การเขียน TOR ไปจนถึงระบบการติดตามการจัดซื้อจัดจ้างที่ประชาชนเข้าถึงได้ โครงการข้อตกลงคุณธรรม หรือ Integrity Pact ถือเป็นการนำร่องที่ดี โดยการให้ผู้สังเกตการณ์อิสระที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบตั้งแต่การเขียน TOR การประมูล ไปจนถึงการตรวจรับงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายแต่สร้างผลลัพธ์ในวงกว้าง แม้ในช่วงแรกจะทำให้เกิดความล่าช้ากว่าเดิม เนื่องจากผู้สังเกตการณ์ได้แย้งให้แก้ TOR ใหม่หลายรอบ ซึ่งก็รอการเปิดเผยข้อมูลของผู้สังเกตการณ์ต่อสาธารณะเช่นกัน
สิ่งที่ TDRI พยายามผลักดัน คือ ใบอนุญาตภาครัฐ เนื่องจากเรามีใบอนุญาตจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างตึก สร้างบ้าน รวมกันประมาณ 1,500ใบอนุญาต แต่ละใบอนุญาตก็มีขั้นตอนหรือกระบวนงานที่เยอะ แม้กระทั่งในใบอนุญาตเดียวกัน อปท. [องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น] อาจจะทำให้กระบวนงานแตกต่างกันทั้งหมดเลยก็ได้ ซึ่งการจะลดกระบวนงานต้องมีการโละกฎหมายที่ไม่จำเป็น อย่างเช่น การปฏิรูปกฎหมายของประเทศเกาหลีใต้ ที่ลดกฎหมายเหลือประมาณ 300 ฉบับ
จากประสบการณ์ในต่างประเทศ พบว่า การปฏิรูปกฎหมายทำได้ยากมาก เพราะหน่วยงานราชการมักจะหวงกฎหมายที่ตัวเองรับผิดชอบ แม้เจ้าหน้าที่จะไม่รู้ว่าหน่วยงานตัวเองรับผิดชอบกฎหมายกี่ฉบับ บางครั้งหนังสือเวียนก็ยึดเป็นกฎขององค์กรซึ่งถือเป็นกฎหมายได้ แต่เราก็พยายามศึกษาและผลักดันการปฏิรูปกฎหมาย โดยเสนอว่ากฎหมายใดควรยกเลิก กฎหมายใดควรปรับแก้ เพื่อลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตให้เหลือน้อยที่สุด ต้องอย่าลืมในอีกด้านหนึ่งว่า การมีกฎหมายมากถือเป็นภาระของหน่วยงานภาครัฐและยังเป็นต้นทุนของสังคม ที่อาจจะนำมาซึ่งการเรียกรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐได้...”
บทความนี้ปรับปรุงจากเนื้อหาการสัมภาษณ์ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2560
ทีมวิจัย SIAM lab
ทีมงาน HAND Social Enterprise
ต่อตระกูล – ต่อภัสสร์ ยมนาค
เรียบเรียงโดย อดิศักดิ์ สายประเสริฐ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี