รัฐบาลภายใต้การกุมบังเหียนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาดูท่าว่าจะเผชิญกับพายุทางการเมืองลูกใหม่อีกครั้งหรือไม่? เมื่อประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังพรรคประชาธิปัตย์ เปิดม่าน เสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธานฯ ลงเล่นในกระดานเกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่น่าสนใจคือ ทั้งประธานสภาฯ อย่างนายชวน หลีกภัย ทั้งซีกฝ่ายค้าน ก็ไม่ได้มีท่าทีขัดข้องแต่อย่างใด กลับกันพรรคพลังประชารัฐที่อยู่ภายใต้ร่มเงาเดียวกัน กลับดูออกอาการมากกว่าใครเสียอย่างนั้น?
ฉะนั้นน่าสนใจว่าการที่นายอภิสิทธิ์ กลับมามีบทบาทอีกครั้ง จะมีนัยทางการเมืองใดซ่อนอยู่หรือไม่? เพราะสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของตัวละครที่ได้บทในการนั่งประธานฯ แก้รัฐธรรมนูญนั้น ถูกกำหนดขึ้นจากประชาชน ให้เป็นอัศวินชุดขาว ที่หาญเข้ามาแก้ปมการเมืองในปัจจุบัน และอาจเป็นการกรุยทางไปถึงอนาคตทางการเมืองรูปแบบใหม่ใช่หรือไม่?
สถานการณ์การแก้รัฐธรรมนูญในตอนนี้ ดูจะปั่นป่วนไม่น้อย หลังช่วงที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ออกบทสรุปจากมติพรรค ในปฏิบัติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยส่งนายอภิสิทธิ์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขธรรมนูญแต่กลับเกิดท่าทีทักท้วงขึ้น? จากฝ่ายรัฐบาล และซีกพรรคพลังประชารัฐ ที่มีกระแสข่าวว่าจะส่งบุคคลอื่นลงนั่งตำแหน่งดังกล่าวแทน ไม่ว่าจะเป็น นายสุชาติ ตันเจริญ, นายมีชัย ฤชุพันธ์ุ, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณรวมไปถึงชื่อของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งบุคคลข้างต้น ภายหลังที่รู้ถึงกระแสดังกล่าวก็ออกตัว โดยมีท่าทีเคอะเขิน ถึงการนั่งตำแหน่งประธานฯ หรือบางส่วนอย่างนายสุชาติเองก็มองว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ก็ถือว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและเป็นที่ยอมรับเช่นกัน ซึ่งดูเผินๆแล้วราวกับว่าไม่มีชนวนความขัดแย้งใดๆ แต่หากลองจับสัญญาณจากบุคคลในพรรค ทั้งนายสิระ เจนจาคะ จากพรรคพลังประชารัฐ ทั้งนายเทพไท เสนพงศ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่ออย่างเผ็ดร้อนใส่กัน แม้สุดท้ายอาจจะเป็นเพียงปัญหาเฉพาะบุคคลต่อกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าทีดังกล่าวจากสองพรรคการเมืองที่มีประเด็นต่อกันในขณะนี้ หรือไม่?
หากย้อนไปต้นรัฐบาล อย่าลืมว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล และตอนร่างนโยบายคำแถลงต่อรัฐสภาของพรรคร่วมฯ ก็มีกระแสข่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นเงื่อนไขในการใส่ประเด็นนี้ในคำแถลงส่วนของนโยบายเร่งด่วนอยู่พรรคเดียว แต่สุดท้ายก็ผลักดันไม่สำเร็จใช่หรือไม่? ก่อนจะมามีการขับเคลื่อนอีกครั้งในตอนนี้ กลับกัน ฝ่ายพรรคซีกฝ่ายค้าน ที่มีการออกมาพูดในตอนต้น สร้างกระแสอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีการขยับเป็นรูปธรรมในทางกฎหมายเพื่อแก้ไขอย่างจริงจัง? ถึงกระนั้นเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เสนอ ก็ไม่มีกระแสคัดค้านแต่อย่างใด ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของเกมใหม่ทางการเมืองที่อาจกำลังมีจุดหมุนใหม่ไม่นานนี้
นอกเหนือประเด็นเรื่องตำแหน่งประธานกรรมาธิการศึกษาแก้รัฐธรรมนูญแล้ว เรื่องของรายชื่อผู้ที่จะนั่งในคณะกรรมาธิการเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน หลังรายชื่อของบุคคลที่หลายฝ่ายคาดว่าจะได้เข้าไปนั่งในตำแหน่งดังกล่าวได้ทยอยออกมาตามหน้าสื่อบ้างแล้ว ซึ่งทางฝ่ายค้านเอง ก็ปรากฏชื่อของ นายสุทิน คลังแสง, นายโภคิน พลกุล, นายชัยเกษมนิติสิริ, นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา, นายชูศักดิ์ศิรินิล และนายวัฒนา เมืองสุข และกำลังพิจารณาตัวบุคคลอื่นเพื่อเข้าไปนั่ง กมธ. เพิ่มเติม? เพราะยังมีเวลาเหลือจากการที่ต้องรอสภาฯ รับญัตติก่อน ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าเวลาที่เหลือ จะมีบุคคลอื่นใดที่ทางฝ่ายค้านจะวางตัว มาเขย่ารัฐบาลได้หรือไม่?
ส่วนทางด้านรัฐบาลเอง แม้รายชื่อจะยังไม่นิ่ง แต่ก็ปรากฏข่าวคราวว่าจะมีนักวิชาการ และ สว. รวมอยู่ในรายชื่อ กรรมาธิการอยู่ในสัดส่วนรัฐบาลด้วย? ตามคำแถลงของนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งสิ่งที่หลายฝ่ายเล็งเห็นตรงกันคือ ท่าทีของรัฐบาลประยุทธ์นั้น ดูจะหวั่นไหวไม่น้อยกับการเข้ามามีบทบาทของนายอภิสิทธิ์ใช่หรือไม่? ด้วยมีคนตั้งข้อสังเกตถึงการงัดเอา สว. เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ? ซึ่งการกระทำดังกล่าวบรรดานักวิเคราะห์ต่างก็ตั้งคำถามต่อเรื่องนี้ ? เพราะด่านสำคัญ ประการหนึ่งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ต้องเจออย่างแน่นอนคือ ด่านของ สว. ซึ่งที่ผ่านมาการทำงานของ สว. แทบไม่เคยแตกแถวให้เห็น ฉะนั้นแล้วการดึงตัว สว. เข้ามาดำเนินงานดังกล่าวจึงเป็นที่จับตาของหลายฝ่ายว่ามีการส่งสัญญาณทางการเมืองอะไรหรือไม่?
กระนั้น ช่วงจังหวะที่ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ หรือซีกฝ่ายค้านบางส่วนอย่างเพื่อไทยกำลังง่วนอยู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับพรรคอนาคตใหม่ ที่ในตอนนี้กลับไม่ได้ออกมาเสนอร่วมแต่อย่างใด แต่กลับเดินหน้าเล่นเกมการเมืองผ่านแฮชแท็กอยู่ไม่เป็น ผ่านโลกออนไลน์ โดยมีการนัดรวมพลกันในวันที่16 พ.ย. นี้ ซึ่งคำถามที่เกิดขึ้นคือ เหตุใดพรรคอนาคตใหม่ ที่ชูเรื่องของการแก้รัฐธรรมนูญมาโดยตลอด กลับดูนิ่งไปเสียอย่างนั้น? ในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างผลัดกันออกหมัดถึงประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะแนวโน้มของพรรคประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยที่ดูทิศทางไปทางเดียวกัน? ความเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวที่จับต้องได้ของพรรคอนาคตใหม่ กลับเหลือเพียงการระดมพลเท่านั้น? ด้วยท่วงท่านี้เอง หลายฝ่ายจึงตั้งข้อสังเกตถึงการกระทำดังกล่าว ว่าจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างถึง ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่? การกระทำนี้ถูกตั้งคำถามว่าทำเพื่อใคร เพราะเมื่อกางปฏิทินดูไทม์ไลน์แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญ มีนัดพิจารณาหุ้นสื่อของนายธนาธร วันที่ 20 พ.ย. นี้ ซึ่งยังไม่มีใครทราบว่าเป็นอย่างไรและไม่อาจก้าวล่วง แต่มีคนวิเคราะห์ว่าถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญ ชี้แจงว่าผิดจริง? สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นายธนาธร ย่อมสิ้นสภาพความเป็น สส. ไปโดยปริยาย
ซึ่งเรื่องดังกล่าว แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัว และไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการยุบพรรคอนาคตใหม่ก็ตามที แต่ต้องอย่าลืมว่าเรื่องร้องเรียนที่ยังเหลืออยู่ ของพรรคอนาคตใหม่นั้น ยังมีอีกมาก ที่กำลังอยู่ในการดำเนินการตรวจสอบของ กกต. ซึ่งคดีทั้งหลาย ล้วนมีผลปลายทางที่ร้ายแรงที่สุดคือ การยุบพรรคหรือไม่? ฉะนั้นแล้วการนัดระดมพลดังกล่าวข้างต้น ท้ายที่สุดจึงถูกมองว่าเป็นการเตรียมการอย่างหนึ่ง เพื่อรอรับแรงกระแทกจากกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่? คงต้องติดตามต่อไป
อย่างไรก็ดี ทั้งช่วงการขยับตัวของพรรคอนาคตใหม่ ที่เล่นกับกระแสสังคมผ่านโลกออนไลน์ ทั้งการเคลื่อนตัวลงสู่สนามการเมืองครั้งใหม่ของนายอภิสิทธิ์ ต่างก็สอดรับกับสถานการณ์ของการอยู่เป็น และอยู่ไม่เป็น จะต่างกันก็เพียงช่วงเวลาในการชิงจังหวะเล่นเกมทางการเมือง ซึ่งฝ่ายหนึ่งถูกมองว่าเป็นผู้ชิงไหวชิงพริบ หวนกลับมาลงในสนามการเมืองได้ถูกที่ถูกเวลา กลับกันอีกฝ่ายถูกมองว่าเป็นการเตรียมทิ้งทวน อย่างขาดการเตรียมการและกระทำโดยฉุกละหุกเท่านั้น?
ด้วยเหตุนี้เองก้าวต่อไปของทั้งสองจึงถูกจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะสร้างความสั่นไหวใดอันจะเปลี่ยนโลกการเมืองให้เข้าที่เข้าทางได้หรือไม่?
“…มังกรย่อมแปรเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ยามใหญ่ก็ฟ้อนเมฆเหินหาว ยามเล็กก็ซ่อนตัวตน
ยามปรากฏก็ผงาดกลางฟ้า ยามเร้นกายก็แทรกบังอยู่ในคลื่น…”
โจโฉ จากเรื่องสามก๊ก (ปี1994)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี