โลกในยุคสงครามเย็นนั้นเต็มไปด้วยการแข่งขัน ความขัดแย้ง และการชิงดีชิงเด่นกันในเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างฝ่ายโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ (หรือระหว่างฝ่ายสหรัฐฯ กับพันธมิตร กับฝ่ายสหภาพโซเวียต กับเครือบริวาร) ซึ่งได้สิ้นสุดไปด้วยการล่มสลายของฝ่ายสหภาพโซเวียต เมื่อปี ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) หลังจากนั้น โลกก็เริ่มหายใจได้ทั่วท้อง พร้อมกับมีความหวังในสันติสุข และความเจริญก้าวหน้าในกรอบเสรีประชาธิปไตย
แต่ทว่าไม่นานนัก ปัญหาขัดแย้งใหม่ก็ได้ผุดขึ้นมาแทนที่ ในรูปแบบของการเมืองและความคิดอ่านแบบอัตลักษณ์นิยม ทั้งชาติพันธุ์ เถือกเถาเหล่ากอ ศาสนากับความเชื่อถือว่า ของตนเป็นใหญ่และถูกต้องเท่านั้น ไปจนถึงการปฏิเสธความต่างและความหลากหลาย ความเป็นพหุวัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันด้วยการยอมรับและเคารพต่อกันและกัน ส่งผลให้เกิดการใช้เสียงข้างมาก การใช้พละกำลัง และการใช้กฎหมายเป็นกลไกเครื่องมือเพื่อข่มขู่ ข่มเหง และขจัดผู้เห็นต่าง ผู้เป็นชนกลุ่มน้อย หรือผู้เป็นเสียงข้างน้อย
มนุษย์ ณ วันนี้ แม้จะอาศัยอยู่ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ องค์ความรู้ และขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกินความคิดความคาดหมาย แต่ก็กลับตกต่ำลงในเรื่องมนุษยธรรม หรือความเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ซึ่งหลงลืมไปว่า ต่างก็เป็น “ผู้กำเนิด” มาจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน (God) แต่ดันไปถือเอาความต่างใดๆ มาเป็นกฎเกณฑ์กติกาที่อยู่เหนือความเหมือน ไปเลือกเอาหลักการเผชิญหน้า กีดกัน ให้อยู่เหนือหลักความสามัคคีสมานฉันท์ หรือแม้แต่ยึดหลักพวกฉันเป็นใหญ่กว่า อยู่เหนือหลักถ้อยทีถ้อยอาศัย และพึ่งพาร่วมแรงร่วมใจกัน จนโลกเกิดความสับสนวุ่นวายกันอย่างที่เห็น
แต่อย่างน้อย โลกนี้ก็ไม่สิ้นคนดี ไม่สิ้นคนกล้าหาญชาญชัยที่จะยืนหยัดอยู่กับความถูกต้อง อยู่กับหลักสันติธรรม อยู่กับหลัการเป็นหนึ่งเดียวกันท่ามกลางความต่างและหลากหลาย
องค์สมเด็จสันตะปาปา (โป๊ป) แห่งสำนักวาติกันของโลกคริสตจักรคาทอลิก และองค์ดาไลลามะผู้นำจิตวิญญาณของฝ่ายมหายาน ได้ออกมาเรียกร้องให้ศาสนาต่างๆ ได้หันหน้าเข้าหากัน พูดจากัน ช่วยกันจรรโลงการอยู่ร่วมกัน และทางศาสนาอิสลามเองก็ได้ยืนหยัดต่อโลกว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติ แม้กระทั่งภาครัฐและภาคประชาสังคม ก็ยังมีการกำหนดรางวัลด้านสันติภาพ เช่น รางวัลโนเบล อีกทั้งหลายๆ ประเทศก็มีนโยบายต่างประเทศที่ส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ทั้งในกรอบความร่วมมือทวิภาคี พหุภาคี หรือไม่ก็จัดตั้ง สนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม โดยให้ความเป็นเอกเทศในเรื่องการบริหารจัดการ
และเมื่อวันที่ 30-31 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมเองได้รับเชิญจากองค์การ Oslo-Helsinki ของนอร์เวย์ และองค์การมูลนิธิ Konrad Adenauer ของเยอรมนี ให้เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศของเวทีสมาชิกรัฐสภา เพื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนา หรือความเชื่อถือ (International Panel of Parliamentarians for Freedom of Religion or Belief) ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยได้รับเชิญไปในฐานะอดีตสมาชิกสภา และผู้ร่วมขับเคลื่อนเรื่องสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน เพื่อเข้าร่วมอภิปรายในหัวข้อว่าด้วย The Role of Legislators / Parliamentarian in FoRB (Freedom of Religion or Belief : บทบาทของสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติ หรือรัฐสภา ในเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา หรือมีความเชื่อถือ) โดยมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 70 คน เป็นนักการเมือง เป็นสมาชิกสภาจากทุกทวีปของโลก
ผมเองได้กล่าวเน้นว่า พรรคการเมือง และนักการเมืองไปจนถึงบรรดาผู้นำทางศาสนาต่างๆ นั้นมีภาระหน้าที่และบทบาทสำคัญในการช่วยกันจรรโลงสังคมให้ยอมรับซึ่งกันและกันในความหลากหลาย และความต่าง และให้คนทุกหมู่เหล่านั้นมีที่ยืนอย่างทัดเทียมกันในสังคม
นอกจากนั้นแล้ว ผมยังได้กล่าวชมสิงคโปร์ต่อการรักษากฎเกณฑ์ไม่ก้าวก่ายกันในทุกหมู่ทุกเหล่าอย่างเข้มงวด โดยกล่าวถึงความโดดเด่นของสิงคโปร์ต่อการเปิดกว้าง และความโอบอ้อมอารีต่อกันและกัน และความจำเป็นที่จะต้องรักษาความดีงาม มิปล่อยให้ลัทธิศาสนาใดๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการปลุกปั่นทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
และในตอนท้าย ผมก็ได้กล่าวแสดงความชื่นชมคนไทย และสังคมไทยที่มีประวัติยอดเยี่ยมของการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความต่างและหลากหลาย
เมื่อการประชุมสิ้นสุด ก็ได้มีการออกแถลงการณ์สิงคโปร์ ที่มีสาระสำคัญของการให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา หรือมีความเชื่อถือหนึ่งใด ให้มีการยกเรื่องกฎเกณฑ์ว่าด้วยการลบหลู่ดูหมิ่นศาสนา (Blasphemy) ให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการไม่ต้องมีศาสนาก็ได้ และไม่ให้มีการบังคับให้มีการนับถือ และให้มีการปกป้องคุ้มครองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาโดยภาครัฐ อีกทั้งให้ทุกคนสามารถเปลี่ยนศาสนาก็ได้ เป็นต้น แถลงการณ์นี้เปิดให้นักการเมืองและสมาชิกสภาทั่วโลกร่วมลงชื่อ ซึ่งผมก็ได้ดำเนินการและทางฝ่ายผู้เข้าร่วมก็จะช่วยกันเผยแพร่ และรณรงค์ให้สมาชิกสภา และนักการเมืองทั่วโลกร่วมกันเข้าชื่อ และผลักดันในเรื่องเสรีภาพของการนับถือศาสนานี้
ซึ่งก็หวังว่า จะเป็นพลังขับเคลื่อนส่วนหนึ่งที่ช่วยนำพาโลกนี้ให้หลุดออกจากปัญหาความขัดแย้ง ไปสู่การจรรโลงสังคมแห่งสันติสุข ที่มนุษย์ทุกเชื้อชาติ และความเชื่อสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และร่วมกันเพื่อสร้างความเจริญให้กับมนุษยชาติไปด้วยกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี