การเมืองไทยใกล้จะถึงจุดที่ “เละเทะ” ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะเป็นเช่นนี้หรือดีกว่านี้ อยู่ที่ “ทหาร” ซึ่งยึดกุมกฎหมาย อำนาจ งบประมาณ และสารพัด
สรรพกำลังทางการเมืองอยู่ในเวลานี้
พรรคการเมืองส่วนใหญ่ “อ่อนแรง” เพราะแพ้ “เงิน” ที่ทหารระดมได้ และบ้างก็ “นายทุนเลิกจ่าย” เพราะไม่เห็นความคุ้มค่าที่จะปะทะกับทหารในยุคที่รัฐธรรมนูญเป็นแบบนี้และสังคมก็ยังไม่ได้ดิ้นรนที่จะหลุดพ้นจากทหาร เหลืออยู่พรรรคการเมืองเดียวที่ทุนหนาพอที่จะสู้กับทหาร คือ “พรรคอนาคตใหม่” แต่ก็อ่อนประสบการณ์และมุทะลุมากเกินไป หากเขาเอาความเดือดร้อนของประชาชนขึ้นนำ เป็นปากเป็นเสียงให้ ค่อยๆ แทรกซึมลงไปในใจประชาชน จะไม่มีใคร“โค่น” อนาคตใหม่ลงได้เลย
แต่เขาเลือกพรีเซ็นเตอร์ผิดในตลาดใหญ่ ได้แค่ในตลาดเล็ก ซึ่งเป็นตลาดหวือหวา ตลาดโผงผาง ตลาดมุทะลุ เราจึงเห็นว่า อนาคตข้างหน้า มีแนวโน้มว่าพรรคอนาคตใหม่จะถูกกำจัด ไม่ด้วยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง ซึ่งพรรคนี้เองก็ “ทำทาง” ให้ฝ่ายอื่น โค่นตัวเองลงได้ง่ายๆ ทั้งจากความเลินเล่อส่วนบุคคลที่เปิดช่องให้ “ผิดกฎหมาย” และการ “หาเรื่อง” อย่างเขลาๆ
“ภูมิใจไทย” ดูจะเป็นอีกพรรคที่มี “เงิน” หนาพอ แต่ก็ถนัด “เล่นตามน้ำ” ตีกินบ้างในบางสถานการณ์ แต่ไม่ปะทะโดยตรงกับทหาร ประคองตัวเองไปในเวลาที่ทหารยังต้องพึ่งเสียงของเขา
“ประชาธิปัตย์” ดูอิหลักอิเหลื่อ ว่าจะเอายังไงดี ไปกับทหารเสียทุกเรื่อง ก็เจอความเป็น “ประชาธิปัตย์” กัดกินตัวเอง ไม่ไปก็อ่อนแรงทางการเมืองเต็มที เงินก็ไม่ค่อยมี ความพร้อมเพรียงในพรรคก็นับวันจะย่ำแย่ลง มันถึงเกิดข่าวที่แพลมออกมาเมื่อวันก่อนไงครับ
8 ธ.ค. 2562 รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาการใช้ศึกษาผลกระทบจากประกาศคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ไปเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมี 10 เสียงสส.ฝ่ายค้านมาช่วยเป็นองค์ประชุมแล้วนั้น แต่ในส่วนของ 6 สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ลงมติเห็นด้วยให้ตั้ง กมธ.ดังกล่าว ยังคงลงมติยืนยันตามเดิม 4 ราย ประกอบด้วย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง, นายเทพไท เสนพงศ์ สส.นครศรีธรรมราช, นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายอันวาร์ สาและ สส.ปัตตานี ขณะที่ นางกันตวรรณ ตันเถียร สส.พังงา และนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ สส.ตาก ร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุม แต่ไม่ออกเสียงลงมติ สร้างความไม่พอใจให้กับแกนนำระดับสูงของรัฐบาลเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้มีการกำชับกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค และนายเฉลิมชัยศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เพื่อให้ควบคุมการลงมติของลูกพรรค ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และในช่วงงานเลี้ยงสังสรรค์พรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.แล้ว และมีการระบุด้วยว่าหากไม่สามารถควบคุมองค์ประชุมสภาฯและควบคุม สส.รัฐบาลได้อาจจำเป็นต้องยุบสภา แต่ผลปรากฏว่าทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่สามารถควบคุม สส.ในสังกัดได้ รวมถึงไม่มีทีท่าว่าจะมีมาตรการลงโทษใดๆ ออกมา อีกทั้งยังปล่อยให้ สส.และผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นโจมตีรัฐบาลบ่อยครั้ง ที่สำคัญการทำงานของรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมา ก็ไม่เข้าขาและมีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกระทรวงเศรษฐกิจ กรณีการแบน 3 สารเคมีทางการเกษตร จึงเริ่มมีความเห็นพ้องกันของแกนนำระดับสูงในรัฐบาล ในการที่จะปรับพรรคประชาธิปัตย์ออกจากรัฐบาลในการปรับ ครม.ที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 2563 หรือภายหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
รายงานระบุว่า เชื่อว่าถ้าปรับพรรคประชาธิปัตย์ออกจากรัฐบาล จะยังมี สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 30 คน ยังอยู่ร่วมรัฐบาล โดย สส.กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดกับ นายสุเทพ เทือกสุวรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. ที่สนับสนุนให้ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่ต้น
รายงานยังระบุอีกว่า ส่วนการแก้ปัญหาไม่ให้กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้น เสียงที่อาจจะหายไป 20-30 เสียง จะทดแทนด้วยเสียงของ สส.บางส่วน ของพรรคเศรษฐกิจใหม่พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาชาติ และพรรคเพื่อชาติ รวมแล้วราว 10 เสียง จึงมีการประสานระหว่างแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ไปยังผู้บริหารระดับสูงของพรรคเพื่อไทย ที่มีความคุ้นเคยกัน เพื่อทาบทามให้นำ สส.จำนวนหนึ่งราว 20-30 เสียง ทั้งที่มีการดูแล หรือฝากเลี้ยงไว้อยู่แล้ว รวมกับบางส่วนที่ไม่กังวลกระแสต่อต้านในพื้นที่ ให้เข้ามาแทนที่เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่ขาดหายไป โดยมีการเสนอตำแหน่งรัฐมนตรี และตำแหน่งอื่นในฝ่ายบริหารให้ตามสัดส่วนจำนวน สส.ที่เข้ามาร่วมกับรัฐบาลด้วย นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกันว่า ในอนาคตอาจจะดึง สส.เพื่อไทย เข้ามาช่วยงานรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น หากยังประสบปัญหาความไม่เข้าขากันของพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งพรรคภูมิใจไทยเอง
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้นำประเด็นดังกล่าวไปหารือ และขอความเห็นชอบจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เกาะฮ่องกง เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน(ที่มา : ไทยโพสต์ออนไลน์)
ถ้าเป็นจริงตามข่าวนี้ นับว่าประชาธิปไตยและการเมืองไทยมาถึงจุดที่ “อัปรีย์อย่างที่สุด” หลังเกิดกระแสเรียกร้องให้ “ปฏิรูปการเมือง” และ “ปฏิรูปประเทศ”
แต่แน่นอนครับ กว่าที่คนจะรับรู้ถึง “ความอัปรีย์ทางประชาธิปไตย” นี้ได้ ก็คงอีกนาน หากรัฐยังมีเงินโปรยหว่านลงไปเป็นระยะๆ เพราะประชาชนถูกขับกล่อมด้วย “สื่อสำนักใหญ่” ที่หนุนรัฐบาลสุดลิ่มทิ่มประตูอยู่ทุกวัน เป็นสื่อทุนหนา และ “คอนเนคชั่นใหญ่” คนจะไม่ถูกทำให้เอะใจ เพราะสื่อทั่วไปก็มัวแต่รายงานข่าวประเภท “ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก” ไปวันๆ
ลองฟังภาพสะท้อนของประเทศอีกด้าน แน่นอนว่ามาจากฝ่าย “ไม่ชอบทหาร” เป็นฝ่ายค้าน ที่ปกติก็ชอบ“ค้านตะพึดตะพือ” เสียด้วย จนทำให้บางเรื่องที่พูด คนจึงไม่ฟัง คราวนี้ลองเงี่ยหูฟังกันดูเล่นๆ ก็ได้
ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมืองว่า ขณะนี้ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ ทั้งทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจ คือ เกิดปรากฏการณ์ที่พรรคเล็กมีอำนาจต่อรอง มีมูลค่าทางการเมืองสูง อันเป็นผลมาจากรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ นอกจากไม่เพียงมีเสียงปริ่มน้ำ แต่ยังมีความหลากหลายของพรรคการเมือง และความต้องการที่แตกต่างกัน
อย่าลืมว่าพลเอกประยุทธ์ เป็นนักการทหาร ไม่ใช่นักบริหาร หรือนักการเมือง จึงขาดประสบการณ์ทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการความต้องการของพรรคร่วมรัฐบาลได้อย่างลงตัว ยิ่งบางพรรคที่มีทั้งความเก๋า ความเก่า และความเขี้ยวทางการเมืองด้วยแล้ว ดังนั้น จึงทำให้เราเห็นปรากฏการณ์การต่อรองที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการจัดตั้งรัฐบาล และตามมาด้วยการโหวตสวนทางกับพรรคร่วมรัฐบาลของสมาชิกบางพรรค รวมทั้งปรากฏการณ์สภาล่มบ่อยครั้ง จนในที่สุดรัฐบาลก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการจัดดินเนอร์มื้อค่ำพูดคุยกับพรรคร่วม และจำเป็นต้องดึงพรรคเล็กพรรคจิ๋วเสริมทีมรัฐบาล แม้พรรคเหล่านี้จะยอมเสียจุดยืนทางการเมืองของตนเอง ที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศเป็นฝ่ายค้านอิสระก็ตาม
ตนมองว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในขณะนี้ตกอยู่ในสภาวะ “จำใจยอม” ต่อพรรคเล็ก เพราะทุกเสียงมีค่ามีความหมายต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของรัฐบาล อะไรที่รัฐบาลยอมพรรคเล็กได้ก็คงต้องยอม ขณะที่พรรคเล็กเองก็อยู่ในภาวะ “จำใจตาม” เช่นกัน เพราะต่อให้ต้องเสียอุดมการณ์และจุดยืนทางการเมืองก็คงถอยไม่ได้ เพราะถ้าถอยคงไม่เกิดประโยชน์และได้อะไร สู้เป็นฝ่ายรัฐบาลมีตำแหน่งแห่งที่คงจะดีกว่า
จากนี้ต่อไปหากรัฐบาลยังคงรักษาระดับมาตรฐานอย่างคงเส้นคงวาของการเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำไว้ได้ ตราบนั้นก็คงไม่มีหลักประกันอะไรที่จะทำให้รัฐบาลเดินหน้าบริหารประเทศได้ต่อไปจนครบวาระ และเราคงจะได้เห็นปรากฏการณ์อภินิหารตำนานงูเห่ายุคใหม่ที่มีรูปแบบและวิธีการแตกต่างจากอดีต ในสภาต่อไปอย่างแน่นอน
ดร.รยุศด์ กล่าวต่ออีกว่า ปัญหาเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของประเทศในขณะนี้ ตนถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด เพราะส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ดังนั้นตนจึงอยากแนะนำพลเอกประยุทธ์ หาคนใหม่ที่เก่ง และเป็นคนดี มีประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ เข้ามาแก้ไขปัญหา เพื่อเรียกคืนศรัทธา ความเชื่อมั่น และความหวังใหม่ๆ ให้กับประชาชนได้แล้ว
จากผลงาน 5 ปี ที่ผ่านมาย่อมเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนแล้วว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถแก้ไขปัญหาและความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศได้แม้ส่วนตัวตนจะมีความเห็นต่างทางการเมืองกับรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ อยากเห็นรัฐบาล และพลเอกประยุทธฺ์ สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจ นำพาบ้านเมืองเดินหน้าต่อไป เป็นความหวัง ความศรัทธา และเป็นที่พึ่งของประชาชนทั้งประเทศได้ เพราะต่อให้รัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำแต่ถ้าเศรษฐกิจดี ประชาชนอยู่ดีกินดีย่อมจะไม่ใช่ปัญหา ตรงกันข้ามจะเป็นเกราะคุ้มครองให้รัฐบาลได้เป็นอย่างดี
“ยังไม่สาย ที่พลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จะเข้าใจและรีบแก้ไขในจุดนี้ เพราะถ้าหากเศรษฐกิจของประเทศพังลง และต่อให้พลเอกประยุทธ์รับผิดชอบด้วยการยุบสภา หรือลาออกก็คงไม่คุ้ม เพราะอย่าลืมว่าต้นทุนทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ และรัฐบาลย่อมไม่มีค่ามากพอที่จะมาชดเชย เมื่อเทียบกับความสูญเสียที่มีต่อเศรษฐกิจ และประชาชนทั้งประเทศ” ดร.รยุศด์ กล่าว
ผมเอา 2 มุม 2 ด้าน มาให้เทียบกันแบบนี้แล้ว ท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไร ก็เป็นเสรีภาพของท่านจะคิดกันต่อไป แต่ขอนิดเดียวว่า ลองตั้งคำถามกันสักนิดจะดีไหมหนาว่าระหว่างปัญหาของประชาชน กับปัญหาของฝ่ายการเมือง รัฐบาลนี้เขาทุ่มเทกับเรื่องไหนมากกว่ากัน
ถ้ามีคำตอบแล้ว ก็เก็บไว้ในใจ ผมแค่อยากให้ท่านคิดหาคำตอบของตัวท่านให้เจอ...ก็แค่นั้นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี