เหลืออีกเพียง 2 สัปดาห์เศษๆ ก็จะหมดปี 2562 เข้าสู่ปีใหม่ 2563 กันแล้ว ซึ่งช่วง “ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่” แบบนี้คนวัยทำงานที่ “หยุดยาว” ก็จะได้กลับไปพบหน้าญาติพี่น้องที่บ้านเกิดก่อนจะกลับมาเริ่มต้นสู้ชีวิตกันใหม่ในปีถัดไป แน่นอนการได้พบปะญาติสนิทมิตรสหายที่ปีหนึ่งอาจได้เจอกันเพียง 1-2 หน (นอกจากปีใหม่สากลแล้วยังมีเทศกาลสงกรานต์อันเป็นปีใหม่ไทยอีกช่วงที่มีวันหยุดยาว) ย่อมเป็นปกติวิสัยที่จะมี “น้ำเมา” ในวงสังสรรค์
แต่ในช่วงเทศกาลหยุดยาวแบบนี้เองที่ปัญหา “อุบัติเหตุบนท้องถนน” จะเพิ่มสูงอย่างมีนัยสำคัญ (ซึ่งอันที่จริงวันธรรมดาก็สูงอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นองค์การอนามัยโลก หรือ WHO คงไม่จัดอันดับให้ไทยติด 1 ใน 10 ประเทศที่มีคนตายเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงที่สุดในโลก โดยอยู่ในอันดับ 2ในรายงานปี 2558 และอันดับ 9 ในรายงานปี 2561) จากสาเหตุสำคัญอย่าง “เมา” ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วไปขับขี่ยานพาหนะ “ซิ่ง” ขับขี่ด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนดหรือในลักษณะหวาดเสียว “ง่วง” พักผ่อนไม่เพียงพอแล้วต้องขับขี่ยานพาหนะ
เมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา มีการจัดสัมมนาสื่อมวลชนกับการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนน “พลังของการรายงานเชิงลึกเพื่อส่งเสริมนโยบายความปลอดภัยทางถนนในประเทศไทย” ณ รร.มิราเคิล แกรนด์ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.), มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) , Internews และโครงการ Global Road Safety Partnership ซึ่งในวงสัมมนามีช่วงหนึ่งได้แสดงความเป็นห่วงกรณีวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่า 2562-ต้อนรับปีใหม่ 2563 กล่าวคือ..
“ในครั้งนี้จะมีวันหยุดอย่างเป็นทางการคือ เสาร์ที่ 28 ธ.ค. 2562-พุธที่ 1 ม.ค. 2563 รวม 5 วัน ดังนั้นอาจมีบางองค์กรเริ่มเปิดทำการวันแรกในวันพฤหัสบดีที่ 2 ม.ค. 2563ทำให้ผู้เดินทางกลับภูมิลำเนาต้องรีบกลับมาตั้งแต่วันที่1 ม.ค. 2563 เพื่อเตรียมตัวทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งที่เพิ่งผ่านพ้นการฉลองข้ามปีหรือเคาน์ดาวน์ (Countdown) ในคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2562 หลายคนอาจดื่มจนเมาและยังไม่สร่างเต็มที่ หรือถึงแม้จะไม่ดื่มแต่ร่างกายอาจอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอเนื่องจากนอนดึก เมื่อต้องมาขับขี่ยานพาหนะย่อมเพิ่มความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้”
นอกจากนั้น นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ยังได้เสนอแนะว่า“สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ควรให้การสนับสนุนการทำงานสืบสวนคดีอุบัติเหตุของตำรวจท้องที่ให้มากขึ้น”เช่น วางแนวปฏิบัติว่าคดีอุบัติเหตุลักษณะใดบ้างที่สมควรทำงานเชิงสืบสวนหาต้นตอที่แท้จริงและนำมาเสนอต่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนัก ตลอดจนให้หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนำไปปรับปรุงแก้ไข
“ทุกวันนี้การดำเนินคดีมันจบแค่ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ทำให้การแก้ไขต้นเหตุจริงๆขยับต่อได้ยาก เช่น ตรงนั้นอาจเป็นโค้งหรือจุดอันตราย หรืออาจเป็นเรื่องสภาพรถที่ไม่ดี ถ้าเราทำให้พนักงานสอบสวนเริ่มต้นจากคดีที่สำคัญ 1.เป็นจุดที่เกิดเหตุซ้ำๆ 2.เป็นอุบัติเหตุหมู่ เช่น เทกระจาด หรืออุบัติเหตุกับรถโดยสารสาธารณะ พูดง่ายๆ คือเป็นคดีที่มีความลึกของสาเหตุที่ต้องสืบค้นเชิงลึก” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว
เช่นเดียวกับ ผู้แทนจากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ พงศ์ธร จันทรัศมี กล่าวว่า แม้งานจราจรจะอยู่คู่กับตำรวจมาอย่างยาวนาน แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ถูกให้ความสำคัญอย่างจริงจัง โดยเป็นเพียงงานหนึ่งที่สามารถสับเปลี่ยนโยกย้ายกำลังเจ้าหน้าที่กับงานด้านอื่นๆ ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้มีการแก้ไข พ.ร.บ.จราจรทางบก กำหนดให้มีตำแหน่ง“เจ้าพนักงานจราจร” ขึ้นมาในงานตำรวจอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะทำให้เกิดการฝึกอบรมความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวต่อไป และรัฐบาลก็ต้องสนับสนุนให้ สตช. ทำงานเชิงสืบสวนกรณีอุบัติเหตุด้วย
“ถ้ารัฐบาลลงทุนให้ตำรวจสามารถทำแผนผังของการเกิดอุบัติเหตุได้ชัดเจนก็จะช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุลงเมื่ออุบัติเหตุลดลงก็จะพ่วงไปถึงตำรวจที่จะลดเวลาในการต้องมาใช้ในคดีอุบัติเหตุลง จะได้ไปทำคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าได้ จุดไหนที่มีอุบัติเหตุบ่อยๆมีความสูญเสียบ่อยๆ ตำรวจก็ควรจะตีแผ่ออกมาว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรแน่ นำไปสู่การแก้ปัญหา ไม่เช่นนั้นมันก็จะเกิดโค้งร้อยศพหรือแยกอาถรรพ์อยู่อย่างนั้น รัฐบาลต้องให้งบประมาณสนับสนุนเพราะทุกคนคาดหวังว่าตำรวจจะเป็นพระเอกในการแก้ปัญหา” พงศ์ธร ระบุ
ตัวอย่างการสืบสวนอุบัติเหตุบนท้องถนนที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือเหตุการณ์รถตู้ชนกับรถกระบะ บนถนนสาย 344 บ้านเนินหนองขนุน หมู่ 1 ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี จนมีผู้เสียชีวิตรวมกัน25 ศพ เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2560 ในช่วงแรกๆ กระแสสังคมมุ่งโทษไปยังคนขับรถตู้ว่าเมาสุราบ้าง เสพยาเสพติดบ้างกระทั่งต่อมาเมื่อการสืบสวนดำเนินไป เช่น สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ แถลงเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2560 ว่าศพคนขับรถตู้ซึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุด้วยนั้นไม่พบแอลกอฮอล์และสารเสพติดในร่างกาย
ขณะที่สำนักงานขนส่งจังหวัดจันทบุรี พบว่า คนขับรถตู้คันดังกล่าวขับรถไป-กลับ ระหว่างกรุงเทพฯ-จ.จันทบุรี ตั้งแต่วันที่ 1-2 ม.ค. 2560 รวมทั้งสิ้น 5 เที่ยวจนเที่ยวที่ 5 จึงประสบอุบัติเหตุ ทำให้หลังจากนั้นภาครัฐได้ออกมาตรการ เช่น กำหนดให้รถตู้โดยสารทุกคันติดระบบติดตามด้วยดาวเทียม (GPS) จำกัดความเร็วไว้ที่ไม่เกิน 80-90 กม./ชม. และคนขับรถทุกคนต้องบันทึกเวลาขับรถผ่านเครื่องอ่านใบขับขี่ที่เป็นบัตรสมาร์ทการ์ด ส่งผลให้สถิติอุบัติเหตุของรถตู้โดยสารลดลงอย่างชัดเจน
หากมีกระบวนการเดียวกันกับจุดที่เกิดอุบัติเหตุซ้ำๆ ซากๆ ของแต่ละพื้นที่ หรือรูปแบบการทำงานที่เสี่ยงอันตราย (เช่น ระยะหลังๆ มีการพูดถึง “ม้าเร็ว 2 ล้อส่งของ”มากขึ้นจากสารพัดแอพพลิเคชั่นที่มีให้บริการ ทำให้ผู้ขับขี่ มอเตอร์ไซค์ส่งของที่ไปรับงานต้องทำความเร็วเพราะรายได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเที่ยวที่วิ่งได้) ก็น่าจะช่วยลดการบาดเจ็บล้มตายบนท้องถนนได้อีกหลายพื้นที่ทั่วทั้งประเทศไทย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี