ปัญหามลภาวะทางอากาศของฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่น PM2.5 กลายเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต่อคิวเข้ามาให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้แก้ไข แม้จะเพิ่ง
ผ่านศึกในสภาฯ ผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณมาหมาดๆ ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่ามาตรการแก้ปัญหาฝุ่น 12 มาตรการที่ผ่าน ครม. มาวานนี้ จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่นได้มากน้อยแค่ไหน แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปัญหาฝุ่นจิ๋วนี้ เป็นปัญหาระดับชาติที่ทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชนทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันช่วยแก้ปัญหา และพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพราะหลายๆมาตรการที่รัฐบาลออกมาอย่างการควบคุมการเผาในที่โล่ง การควบคุมยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม และการก่อสร้าง คงเป็นเรื่องที่เห็นผลได้ยาก หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชนใช่หรือไม่?
ทว่าสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลต้องระวัง ตราบใดที่ปัญหาฝุ่นยังไม่จางหายไป ก็คือผลกระทบที่จะตามมาเป็นโดมิโน เตรียมล้มใส่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ต่อจากภัยแล้ง
และปัญหาฝุ่น นั่นก็คือปัญหาเศรษฐกิจที่ชะงักไปจากสงครามการค้า และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นซึ่งปัญหาในส่วนนี้ ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยแก้ไขได้อย่างงบประมาณปี’63 ก็ยังต้องรอกระบวนการผ่านวุฒิสภาก่อน โดยกว่าจะได้ใช้เงินในส่วนนี้เพื่อขับเคลื่อนฟันเฟืองทางเศรษฐกิจอาจต้องรอถึงช่วงกลางปี
แต่ในสถานการณ์ที่ดูน่าอึดอัดนี้ ก็เกิดปรากฏการณ์หนึ่ง ที่อาจเข้ามาช่วยเดินหน้าเศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้ ความก้าวหน้าในเรื่องโครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ โครงการ EEC ที่ล่าสุดกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส เพิ่งชนะประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งโครงการนี้ถือว่าเป็น 1 ใน 5 โครงสร้างพื้นฐาน ที่เป็นองค์ประกอบเมกะโปรเจกท์ EEC ฉะนั้นดูๆ ไปแล้วหากไม่เกิดข้อผิดพลาดใดขึ้น โครงการ EEC น่าจะเป็นไปตามกำหนดเวลาและจะกลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลในชุดนี้ ด้วยผลงานที่จะสร้างประโยชน์ให้กับทั้งภาครัฐและภาคประชาชนใช่หรือไม่?
ท่ามกลางการแก้ปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาไปทีละเปลาะของรัฐบาล ฝ่ายค้านอย่างพรรคอนาคตใหม่ก็ดูฝ่อลงไปในช่วงที่ผ่านมา? ด้วยสถานการณ์สุ่มเสี่ยงถูกยุบพรรค จากกรณีนายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจนายปิยบุตร แสงกนกกุล และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ว่าเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่? แม้ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำร้องคดีดังกล่าว แต่ก็ต้องรอลุ้นต่อในคดีที่นายธนาธร ปล่อยเงินกู้แก่พรรคอนาคตใหม่จำนวน 191 ล้านบาท ที่อยู่ในกระบวนการของ กกต.ในการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งก็ไม่มีใครคาดเดาผลได้ แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เหล่า สส. ค่ายอนาคตใหม่ระส่ำไม่น้อยถึงผลที่อาจเกิดขึ้น? และหลายคนก็มองข้ามช็อตไปถึงสถานการณ์ในสภาฯ ที่อาจถึงขั้นเปลี่ยนแปลงสมการการเมือง ในสภาวการณ์ที่ฝ่ายรัฐบาลเองก็ต้องการแต้มเพิ่ม และอาจรวมถึงความต้องการปรับเปลี่ยนโควตาพรรคร่วม เพื่อให้การทำงานของรัฐบาลประยุทธ์เดินหน้าต่อไปได้ดีมากขึ้น
ซึ่งเมื่อหันมามองถึงพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ว่าจะเคลื่อนไหว ขยับส่วนใด ก็ส่งผลสะเทือนถึงรัฐบาล อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยมีอาการไม่สนองต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จนทำให้รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจต้องปวดหัวมาแล้ว ซึ่งอาการดังกล่าวไม่ใช่อาการแรกที่แสดงออกให้เห็น ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่าลึก ๆ แล้ว พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินเกมบางอย่างผ่านการร่วมรัฐบาลหรือไม่? แต่ในห้วงที่ผ่านมาอาการดังกล่าวก็ดูแผ่วลงไป ด้วยภาวะภายใน ที่เหล่าอดีต สส. หลายคนทยอยลาออก ซึ่งหลายคนก็เคยเป็นถึงหนึ่งในแคนดิเดตชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในอดีต ทั้ง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และล่าสุดถึงคิวนายกรณ์ จาติกวณิช ซึ่งการลาออกของคนระดับนายกรณ์ ที่เคยเป็นถึงอดีตรมว.คลัง ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมีเส้นทางอย่างไรต่อไป?
สอดรับกับสภาพภายในของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยเองก็ถือเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลที่มีการดำเนินนโยบายในแบบฉบับของตัวเองมาตลอด? จนบางครั้งก็ก่อให้เกิดความขบเหลี่ยมกันภายในมุ้งฝ่ายรัฐบาลเอง ตามข่าวที่เห็นมาก่อนหน้านี้ ซึ่งด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อพิจารณาดูแล้ว ทำให้หลายฝ่ายมองไปถึงการเกิดสมการทางการเมืองขึ้นใหม่ นั่นคือการล้างไพ่ทางการเมือง ละลายความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายจับมือพรรคเพื่อไทย ร่วมกับพรรคเล็กอื่นตั้งรัฐบาลถึงแม้ความเป็นไปได้ในขณะนี้จะน้อย
แต่ด้วยสถานการณ์แบบการเมืองไทย ที่ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ก็น่าสนใจว่าหากจะเกิดขึ้น ก็คงเป็นเรื่องไม่เหนือความคาดหมายหรือไม่? เพราะต้องอย่าลืมว่าซีกฝั่งพรรคเพื่อไทยเอง ตอนนี้ก็ประสบกับสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อ? หั่นครึ่งเป็นสอง หรืออาจจะสามฝ่าย จากท่าทีที่ผ่านมาไม่ว่าจะทั้งการตั้ง กมธ. การทำงานของพรรคที่อาจคาบเกี่ยวกัน ซึ่งอาจกลายเป็นปัจจัยให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้ ระหว่างคุณหญิงสุดารัตน์ กับ ร.ต.อ.เฉลิม หรือไม่ว่าจะเป็นอากัปกิริยาของความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างคุณหญิงสุดารัตน์ กับนายสมพงษ์ ซึ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาภายในพรรคเพื่อไทยเอง ซึ่งจากอาการที่กำลังสั่นไหวนี้ บางฝ่ายก็มองว่าการเข้าร่วมกับฝ่ายรัฐบาล เป็นไปได้หรือไม่ว่าซีกนายทักษิณอาจได้บรรลุข้อตกลงอะไรบางอย่างด้วยหรือไม่?
แต่อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวคงเกิดขึ้นได้ยาก ไม่ว่าจะทั้งเรื่องของการบริหารงาน หรือการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีใหม่ และปัจจัยที่สำคัญที่สุด นั่นคือเรื่องกระแสมวลชนที่อาจสับสนกับจุดยืนของพรรคเพื่อไทย ดังนั้นแล้วสิ่งที่อาจชี้ชะตาการเมืองบทถัดไป คงหนีไม่พ้นประเด็นการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่จะเป็นเวทีแสดงผลงานของฝ่ายค้าน ซึ่งน่าจับตาว่าพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำฝ่ายค้าน จะใช้เวทีดังกล่าวทำหน้าที่ตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้ไว้เท่านั้น ซึ่งอาจถูกประชาชนตีความเข้าข่ายข้อสังเกตเตรียมจับมือรัฐบาล? หรือจะมีหมัดเด็ด น็อกใส่รัฐบาล เพื่อกลบกระแสข่าวดังกล่าว คงต้องรอดูกันต่อไป
“...ผู้เป็นแม่ทัพ ต้องถือความปลอดภัยของชาติเป็นสำคัญ...”
สุมาอี้ จากเรื่องสามก๊ก (1994)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี