ตั้งแต่หลังปีใหม่ 2020 ทั้งดัชนีตลาดหุ้นอเมริกากับตัวเลขหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐต่างทำสถิติขยับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ด้วยกันทั้งคู่
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ขยับขึ้นไปปิดที่ประมาณ 29,348 จุด อันเป็นสถิติสูงสุด นับตั้งแต่เปิดทำการเมื่อปี 1792 หรือ พ.ศ. 2335 (ประมาณสมัยรัชกาลที่ 1)ก่อนที่ต้นสัปดาห์นี้จะขยับปรับตัวลงมาบ้างอยู่ที่ระดับ 29,186 จุด ตอนปิดตลาดเย็นวันพุธที่ผ่านมา
ดัชนีดาวโจนส์สร้างสถิติใหม่ปรับตัวขึ้นเกือบหนึ่งพันจุดภายในเวลาไม่ถึงเดือน ตั้งแต่หลังปีใหม่ที่ผ่านมาเช่นเดียวกับตัวเลขหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐ ณ ปัจจุบันมีอยู่ที่ประมาณ 23.2 ล้านล้านดอลลาร์ ก็ทำสถิติใหม่ขยับเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาไม่ถึงปีจากประมาณ 22 ล้านล้านดอลลาร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
เว็บไซต์แสดงยอดหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐ
แบบ real time
ณ วันที่ 22 มกราคม 2020
เวลาประมาณ 8.07 pm
การเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้นหนึ่งพันจุดภายในหนึ่งเดือนควบคู่ไปกับจำนวนหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ ภายในไม่ถึงหนึ่งปีถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ขอให้ลองมาทำความเข้าใจการเดินทางในระบบเศรษฐกิจการเมืองสหรัฐของตัวเลขสองตัวนี้กันดู
นับตั้งแต่ปี 1960 รัฐสภาอเมริกัน ได้มีการออกกฎหมายเพื่อขยายเพดานการก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาลมาแล้วเป็นจำนวนถึง 70 กว่าครั้ง เช่น ในสมัยรัฐบาลเรแกน 16 ครั้ง คลินตัน 4 ครั้ง บุช จูเนียร์5 ครั้ง โอบามา 9 ครั้ง และปัจจุบันรัฐบาลทรัมป์ 2 ครั้งเป็นต้น
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกแต่ประการใด ที่ตัวเลขหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐจะอยู่ที่ประมาณ 23.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในปัจจุบัน ถ้าลองย้อนกลับไปดู
การจัดทำงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐในรอบหกสิบปีที่ผ่านมา
เริ่มตั้งแต่ ปี 1961 ในสมัยรัฐบาลจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ (เทียบกับประเทศไทยก็ปี 2504 ช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์) จนถึงปัจจุบันปี 2020รัฐบาลสหรัฐมีการขาดดุลงบประมาณมาเกือบโดยตลอดยกเว้น ปี 1969 สมัยรัฐบาลนิกสันและช่วงปี1998-2001 สมัยรัฐบาลคลินตันเท่านั้น ที่สามารถทำงบประมาณเกินดุลได้
พูดง่ายๆ ก็คือ งบประมาณแผ่นดินของประเทศสหรัฐฯ ในรอบ 60 ปีที่ผ่านมา (1961-2020) มีการทำงบประมาณแบบขาดดุล 55 ปี และเป็นแบบเกินดุล 5 ปี การมีงบประมาณแบบขาดดุลมาตลอด 55 ปี ในระยะเวลา 60 ปี จึงทำให้ยอดหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐ (Public Debt) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินเพื่อนำมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณสะสมเรื่อยมาจนถึง 23.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะมากที่สุด
.....หนี้ก้อนมหึมาจำนวนดังกล่าวของรัฐบาลพญาอินทรีตัวนี้ มีที่มาจากไหน ขอให้ลองมาดูกัน.....
ตัวเลขหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มแตะหลัก 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ $1 trillionในรัฐบาลจิมมี่ คาร์เตอร์ (1979-1982) ซึ่งค่อยๆ ถูกสะสมมาจากรัฐบาลก่อนหน้านั้นด้วยการทำงบประมาณขาดดุลอย่างต่อเนื่อง เพราะเอาเงินไปทำสงครามเวียดนามจนหมดและประกอบกับเศรษฐกิจอเมริกาเริ่มชะลอตัวลง
ช่วงสมัยของเรแกน (1983-1988) มีการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์เพราะเอาเงินไปใช้จ่ายในการพัฒนาสร้างโครงการด้านอวกาศต่างๆ ขณะที่มีการจัดเก็บภาษีน้อยลงอันเนื่องมาจากนโยบายลดภาษีต่างๆ ตามสไตล์ของพรรครีพับลิกัน
ในปี 1989 ตอนบุช ผู้พ่อขึ้นมารับช่วงเป็นประธานาธิบดีต่อจากเรแกน ตัวเลขหนี้สาธารณะรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยระยะเวลาสี่ปีที่รัฐบาลบุช ซีเนียร์ บริหารประเทศนั้นก็ได้ก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะเอาเงินไปใช้จ่ายในสงครามอ่าวเปอร์เซียและเศรษฐกิจอเมริกาได้เข้าสู่ภาวะถดถอยตามวัฏจักรของมัน หลังจากที่ก่อนหน้านั้นอยู่ในช่วงขาขึ้นสมัยรัฐบาลเรแกน ยอดหนี้เพิ่มเป็น 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ในปีที่บุช ซีเนียร์ อำลาทำเนียบขาวไป
ต่อมา ในยุคสมัยคลินตัน (1993-2000) ตลอดแปดปี รัฐบาลนี้ได้ก่อหนี้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งก็ถือว่าไม่มากนักถ้าเทียบกับ รัฐบาลบุช ซีเนียร์ ที่บริหารประเทศเพียง 4 ปี แต่สร้างหนี้ให้สหรัฐฯ ไป 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยเหตุที่เศรษฐกิจในช่วงรัฐบาลคลินตันนี้กลับมาดีขึ้นเพราะการเฟื่องฟูของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนต (ยังมีต่อ)
ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี