"ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยกองกฎหมายการบริหารราชการแผ่นดิน ได้เผยแพร่ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... เพื่อให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้น สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย ได้ศึกษาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีความคิดเห็นดังนี้"
1.ตามมาตรา 77 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 กำหนดว่ารัฐพึงจัดมีกฎหมายเท่าที่จำเป็นและก่อนตรากฎหมายรัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ ขณะนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ยังคงใช้บังคับอยู่และสามารถใช้ได้ดี เห็นว่า หากจะมีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้การสอบสวนคดีอาญาต่างๆ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ก็น่าจะใช้วิธีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาประกอบด้วยผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด จะต้องมีบทบาทในการพิจารณาด้วย เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการกฎหมายฉบับนี้
ข้อเท็จจริง ปรากฏว่าคณะกรรมการจัดทำร่างกฎหมายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเพียงระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2562-14 มกราคม 2563 เป็นระยะเวลาที่สั้นและรวบรัดเกินไปเท่ากับไม่เปิดโอกาสให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด
2.มาตรา 68 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็วและไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร
ปรากฏว่าร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .....นี้ ไม่ได้มุ่งเน้นให้มีการจัดระบบยุติธรรมให้มีการตรวจสอบกำกับ ดูแล และถ่วงดุลอำนาจของหน่วยงานที่มีหน้าที่อำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชน ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเดิม กำหนดให้อำนาจการให้ความเห็นชอบในคดีอาญากรณีพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องหรืออำนาจในการทำความเห็นแย้ง ความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ไม่ฎีกา เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งรับผิดชอบดูแลบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนในจังหวัดนั้นๆ แต่ปรากฏว่า ร่างพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจ ซึ่งแม้อัยการเห็นว่าควรสั่งไม่ฟ้อง แต่กลับให้ส่งสำนวนให้ตำรวจพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือทำความเห็นแย้ง ซึ่งทำให้เห็นว่าไม่ใช่เป็นการถ่วงดุลอำนาจระหว่างตำรวจและอัยการ รวมทั้งประชาชนไม่ได้รับความสะดวกและเสียค่าใช้จ่ายมากกรณีที่จะต้องร้องขอความเป็นธรรม จะต้องร้องไปที่สำนักงานตำรวจภาค
3.การที่ร่างพระราชบัญญัตินี้ อ้างในเหตุผลของการร่างพระราชบัญญัติว่าจะดำเนินการปฏิรูปประเทศในด้านกระบวนการยุติธรรมให้เกิดผล โดยการปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญา ตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม และสามารถอำนวยความยุติธรรมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพนั้นจึงเห็นว่าไม่ถูกต้อง
เห็นว่าการจะเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปการสอบสวนจะต้องกระทำโดยมีเป้าหมาย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่ได้ผลอย่างแท้จริง การบริการประชาชน ความรวดเร็วในการบังคับใช้กฎหมาย จะต้องให้มีการกระจายความรับผิดชอบ การบังคับใช้กฎหมายไปยังหน่วยงานที่กฎหมายกำหนดให้รับผิดชอบให้มากที่สุด เช่น กฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ ประมวลรัษฎากร กฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กฎหมายสรรพสามิต กฎหมายเกี่ยวกับการปกครอง กฎหมายเกี่ยวกับการกระทำผิดเทศบัญญัติ ข้อบัญญัติและข้อบังคับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การรักษาความมั่นคง และอีกหลายฉบับ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจไม่มีความเข้าใจในเจตนารมณ์และความเชี่ยวชาญในกฎหมายต่างๆ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายนั้นๆ ทำให้ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเรื่องดังกล่าวอย่างได้ผล
ประการที่สำคัญ พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจมีงานที่จะต้องรับผิดชอบสอบสวนในเรื่องกฎหมายและคดีอาญามากมาย ทำให้เกิดปัญหาล่าช้าคั่งค้างหมักหมมปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย จนมองดูว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจ จนทำให้บางกรณีทำให้เกิดความเครียดในการปฏิบัติหน้าที่และถูกลงโทษทางวินัย แต่โปรดอย่าลืมว่าความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความไม่ยุติธรรม
จึงควรมีการปรับปรุงบทบาทหน้าที่การบังคับใช้กฎหมายและการสอบสวนคดีอาญาในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอาชญากรไปให้หน่วยงานอื่นที่มีความเชี่ยวชาญรับผิดชอบ ดังตัวอย่างเรื่องการมอบคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รับผิดชอบ
4.ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... นี้ ขัดกับหลักการของกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม การให้ผู้ว่าราชการจังหวัด/ นายอำเภอส่งข้อเท็จจริงกรณีพบการกระทำความผิดอาญาเป็นหนังสือให้แก่พนักงานสอบสวน (ม.10)
มาตรา 10 ว.6 แห่ง (ร่าง) พ.ร.บ. การสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. .... กำหนดให้ในกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอ ฯลฯ ได้รับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำ
ความผิดอาญาในเรื่องใด ให้มีหน้าที่ส่งข้อเท็จจริงนั้นเป็นหนังสือให้แก่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ฯลฯ
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนหลักการที่กำหนดไว้ในมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ให้พนักงานฝ่ายปกครองชั้นผู้ใหญ่และปลัดอำเภอมีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาได้
นอกจากนี้ ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 52/1 ได้กำหนดให้จังหวัดมีอำนาจ ดังต่อไปนี้ (2) ดูแลให้มีการปฏิบัติและบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและเป็นธรรมในสังคม และ (3) จังหวัดต้องจัดให้มีการคุ้มครองป้องกัน ส่งเสริมและช่วยเหลือประชาชน และชุมชนที่ด้อยโอกาสเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจและการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง มาตรา 61/1 ได้กำหนดให้อำเภอมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกันกับผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตอำเภอ และ (4) กำหนดให้อำเภอมีอำนาจหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยหรือจัดให้มีการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาทเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคมทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ซึ่งถือเป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือกที่กฎหมายให้บทบาทในการอำนวยความเป็นธรรมแก่ประชาชนโดยพนักงานฝ่ายปกครอง
พร้อมกันนี้รัฐบาลได้มีการออกกฎหมายตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 96/2557 เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม ให้จังหวัดจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมขึ้นในจังหวัดเพื่อทำหน้าที่ในการรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ ให้คำปรึกษา และรับเรื่องปัญหาความต้องการและข้อเสนอแนะของประชาชน โดยให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่บูรณาการบริหารจัดการร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน อีกทั้งในกรณีที่จำเป็นเร่งด่วนจะต้องดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของศูนย์ดำรงธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า และทรัพยากรธรรมชาติ การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ การคุ้มครองป้องกันหรือช่วยเหลือประชาชนผู้ด้อยโอกาสให้ได้รับความเป็นธรรม กฎหมายฉบับนี้ยังให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคมตามนโยบายของรัฐบาล มีอำนาจสั่งการ บังคับบัญชา กำกับดูแลบรรดาข้าราชการของรัฐในเขตจังหวัด อันเป็นเจตจำนงที่รัฐบาลต้องการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามาอำนวยความเป็นธรรมและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่
ดังนั้น หากบทบัญญัติมาตรา 10 แห่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการอาจทำให้เกิดการตีความสับสนกันในภายหลังได้ และข้อเท็จจริงที่ ผู้ว่าราชการจังหวัด/นายอำเภอพบนั้น หากต้องส่งให้พนักงานสอบสวนสถานเดียว โดยไม่มีการสืบสวนสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ของพนักงานฝ่ายปกครองที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.อาญา ก็จะทำให้หลักประกันความเป็นธรรมและประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายแก่ประชาชนลดน้อยถอยลง ส่งผลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอไม่สามารถอำนวยความเป็นธรรมแก่ประชาชนในพื้นที่ของตนได้
สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย จึงเห็นว่า
1.สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทยไม่เห็นด้วยกับการที่จะต้องร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญานี้ขึ้นมาใหม่
2.ให้มีการปรับปรุงกระบวนการสอบสวนโดยปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและปรับปรุงบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ โดยการมอบให้หน่วยงานอื่นซึ่งมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายนั้นๆ มีอำนาจสอบสวนและดำเนินการสอบสวนเสนออัยการพิจารณาได้ไม่ต้องส่งให้พนักงานสอบสวน ฝ่ายตำรวจดำเนินการ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการบริการประชาชนและคุณภาพในการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งเป็นการจัดความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง การป้องกันการปราบปรามความผิดทางกฎหมาย และการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง คดีไม่คั่งค้าง รวมทั้งเป็นการป้องกันเจ้าหน้าที่บางคนมิให้มีการทุจริตประพฤติมิชอบในการดำเนินการสอบสวนและอำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชนในคดีอาญา ด้วยการกำหนดหลักการถ่วงดุลอำนาจและตรวจสอบอำนาจการสอบสวนให้ดีที่สุด
สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย เห็นว่าการมอบอำนาจการสอบสวนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป อาจทำให้เจ้าหน้าที่บางคน ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชน เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบ ฉ้อฉล ดังภาษิตที่ว่า “Power tends to corrupt ; absolute power corrupts absolutely”
ประยูร พรหมพันธุ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี