บ่อยครั้ง ที่เราเห็นว่าสถานการณ์ในบ้านเรายังไม่เลวร้ายเหมือนในต่างประเทศ นั่นอาจไม่ได้หมายความว่า ไม่มีใครทำอะไร? หรือคนที่มีหน้าที่ละเลยหน้าที่?
ตรงกันข้าม เบื้องหลังสถานการณ์ที่เลวร้ายน้อยกว่าที่อื่นๆ อาจเป็นเพราะมีคนทำงานอย่างหนัก ประสานกับต่างประเทศเกือบทุกชั่วโมง รวมถึงเจ้าหน้าที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เสี่ยงติดโรคแทนคนทั้งประเทศ
กรณีการรับมือกับโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสอู่ฮั่น ก็เช่นกัน
1. ขณะนี้ มีคนพยายามปั่นกระแสด้วยข้อมูลเท็จ กล่าวหาโจมตี โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ทวิตเตอร์ ประหนึ่งว่าภาครัฐไม่ได้ทำงานอะไรเลยในการรับมือกับสถานการณ์นี้
บางคน อ้างข่าววงในที่ไร้หลักฐานอ้างอิงใด ยกเมฆเอาเลยดื้อๆ
บางคน อ้างเห็นคนล้มลงกับตา แต่ถูกปิดข่าว ทั้งๆ ที่ ตัวเองก็สามารถพ่นความเท็จออกได้ขนาดนี้ แล้วมันจะปิดข่าว ปิดความจริงไปได้อย่างไร
บางคน ชั่วร้ายกว่านั้น เอาภาพที่คนไทยในอู๋ฮั่นโพสต์ เป็นภาพตลาดสดปิด แต่คนสันดานชั่วในบ้านเรากลับนำมาใช้อ้างว่าเป็นการปิดศพคนตาย ปิดข่าว แล้วแฮชแท็กว่า รัฐบาลเฮงซวย ฯลฯ
นักการเมืองบางคน บางกลุ่ม บางพรรค ฉวยโอกาสผสมโรงปั่นกระแสจากฐานข้อมูลเท็จเหล่านี้
เล่นการเมืองบนชีวิตและความตื่นตระหนกของผู้คน
ช่างอำมหิต และเลวร้ายเกินจะกล่าว
2. รัฐบาล ภาครัฐ เฮงซวย ไม่ทำอะไรเลย จริงหรือ?
หรือจริงๆ แล้ว พวกที่ไม่ทำอะไรเลย นอกจากปั่นข่าวเท็จ ใส่ร้ายสร้างสถานการณ์ให้คนตื่นตระหนก หวังผลประโยชน์ทางการเมือง และผลประโยชน์จากยอดไลค์ ยอดแชร์ นั่นต่างหากที่ “ปัญญาควาย”?
ลองพิจารณาจากข้อเท็จจริง ดังต่อไปนี้
2.1 ในต่างประเทศ... เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2563 สาธารณรัฐประชาชนจีน รายงานจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส 59 ราย โดยพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จำนวน 41 ราย
เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2563 ประเทศจีนเผยแพร่ genome ของเชื้อ “novel coronavirus 2019” หรือ “nCoV-2019” ลงใน GenBank®
ต่อมา วันที่ 21 มกราคม 2563 ประเทศจีนมีมาตรการคัดกรองโรคที่สนามบิน สถานีรถไฟ และท่าเรือ, วันที่ 23 มกราคม 2563 เพิ่มมาตรการลดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โดยประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น มีการยกเลิกเที่ยวบินขาออก รวมถึงการเดินทางด้วยรถไฟ และวันที่ 24 มกราคม 2563 ได้มีการประกาศปิดเมืองเพิ่มเป็น 11 เมือง ในมณฑลหูเป่ย์ ได้แก่ อู่ฮั่น หวางกาง เอ้อโจว จือเจียง ชื่อปี้ เซียนเถ่า เซียนเจียง เอินซี่ หวงนี่เซียวกิน และจิงเหมิน และให้ประชาชนในเมืองอู่ฮั่นสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชน
ขณะที่ประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา เขตการปกครองพิเศษฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ใช้มาตรการเฝ้าระวังคัดกรองผู้ที่มีอาการไข้ร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน และมีประวัติเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น (Wuhan) มณฑลหูเป่ย์ (Hubei) สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมทั้งแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังและป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ
ส่วนประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 3 – 25 มกราคม 2563 กรมควบคุมโรคได้ดำเนินการเฝ้าระวังคัดกรองผู้โดยสารเครื่องบินในเส้นทางที่บินตรงมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานกระบี่ (เริ่มคัดกรองวันที่ 17 มกราคม 2563) จำนวน 137 เที่ยวบิน ผู้เดินทางและลูกเรือได้รับการคัดกรอง ทั้งสิ้น 21,522 ราย
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2563 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน เป็นระดับ 3 เพื่อติดตามสถานการณ์โรคทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการทรัพยากร เสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการเฝ้าระวังค้นหาผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสที่มาจากต่างประเทศ โดยเน้นการคัดกรองไข้ ณ ช่องทางเข้า-ออกประเทศที่ท่าอากาศยาน 5 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ตและกระบี่ เพิ่มการเฝ้าระวังที่โรงพยาบาล สนับสนุนการเตรียมความพร้อมสำหรับรับมือโรคติดต่ออุบัติใหม่ โดยครอบคลุมระบบบริการสาธารณสุขทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนแหล่งท่องเที่ยว นอกจากนี้วันที่ 23 มกราคม 2563 ได้ยกระดับการแจ้งเตือนโรคในผู้เดินทาง เป็นระดับ 3 ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด
วันที่ 24 - 26 มกราคม 2563 ท่าอากาศยานเชียงราย เชียงใหม่ และสุวรรณภูมิ คัดกรองผู้โดยสารจากสายการบินของกว่างโจว 11 เที่ยวบิน ผู้เดินทางและลูกเรือได้รับการคัดกรอง จำนวน 1,501 ราย และท่าอากาศยานกระบี่ คัดกรองผู้โดยสารจากสายการบินของฉางฉุน 1 เที่ยวบิน ผู้เดินทางและลูกเรือได้รับการคัดกรอง จำนวน 363 ราย
จะเห็นว่า มาตรการในไทยเข้มงวด ทันที ทันควันกว่าอีกหลายๆ ประเทศด้วยซ้ำ
2.2 สถานการณ์ในต่างประเทศ วันที่ 22 มกราคม 2563 มีผู้ป่วยยืนยันเป็น 258 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีรายงานพบเชื้อในบุคลากรทางการแพทย์ 15 ราย มีผู้เสียชีวิต 9 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 25 – 89 ปี มีไข้ ไอ แน่นหน้าอก และเหนื่อยหอบ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีประวัติเกี่ยวข้องกับ South China Seafood Wholesale Market แต่มีบางรายที่ปฏิเสธการเข้าตลาด นอกจากนี้ทางการประเทศจีนได้ประกาศว่าเชื้อนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้
วันที่ 23 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันจำนวน 571 ราย ในเมืองอู่ฮั่น 371 ราย และในหลายเมืองของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ 200 ราย (กวางตุ้ง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เจ้อเจียง ฉงชิ่ง เทียนจิน เสฉวน เจียงซี เหอหนาน ซานตง ยูนนาน และหูหนาน เป็นต้น) มีอาการรุนแรง 95 ราย เสียชีวิต 17 ราย และมีผู้สัมผัสใกล้ชิด 5,897 ราย
วันที่ 24 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันในประเทศจีนกระจายไป 28 เมืองของจีนแผ่นดินใหญ่ จำนวน 830 ราย เสียชีวิต 26 ราย เป็นผู้ป่วยยืนยันในมณฑลหูเป่ย์ 549 ราย เสียชีวิต 25 ราย และพบผู้เสียชีวิตในมณฑลเหอเป่ย์ 1 ราย
วันที่ 25 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันในประเทศจีนกระจายเกือบทุกเมือง (ยกเว้นเมือง Xizang) จำนวน 1,318 ราย อาการรุนแรง 237 ราย เสียชีวิต 41 ราย ในจำนวนนี้เป็นบุคลากรทางการแพทย์เสียชีวิต 1 ราย
วันที่ 26 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันในประเทศจีนกระจายเกือบทุกเมือง (ยกเว้นเมือง Xizang) จำนวน 1,975 ราย อาการรุนแรง 324 ราย เสียชีวิต 56 ราย
ซึ่งผู้ป่วยยืนยันทั่วโลกจำนวนทั้งสิ้น 2,023 ราย
โดยวันที่ 26 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันนอกประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ จำนวน 40 ราย อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา (3) สิงคโปร์(3) ญี่ปุ่น (4) เกาหลีใต้(3) เวียดนาม (2)ฝรั่งเศส (3)ออสเตรเลีย (4) มาเลเซีย (3) แคนาดา (1) ไต้หวัน (3) เนปาล (1) เขตปกครองพิเศษฮ่องกง (5) และมาเก๊า (5)
สำหรับสถานการณ์ในไทย ณ วันที่ 26 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ Novel Coronavirus 2019 จำนวน 8 ราย (รักษาจนหายไปแล้ว 5 ราย)
ภาพรวมทั้งหมด พบผู้ป่วยอาการเข้าได้ตามนิยามทั้งหมด 102 ราย
โดย 24 ราย คัดกรองได้ที่สนามบิน
นอกจากนี้ มีผู้ป่วยที่มีอาการเข้าตามนิยามไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน 45 ราย โรงพยาบาลรัฐ 23 ราย และสถาบันบำราศนราดูร 7 ราย รวมทั้งมีโรงแรม ศูนย์เอราวัณ และมหาวิทยาลัย จำนวน 3 ราย และในจำนวนนี้ได้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐ 22 ราย (นครปฐม กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต นครสวรรค์ อ่างทอง สุราษฎร์ธานี และพิษณุโลก) สถาบันบำราศนราดูร 12 ราย และโรงพยาบาลเอกชน 6 ราย รวม 40 ราย และสังเกตอาการห้องแยก 8 ราย มีอาการรุนแรง 1 ราย
ส่วนผู้ป่วยที่ทราบเชื้อที่เป็นสาเหตุจากห้องปฏิบัติการ (ไม่ใช่โคโรนาสายพันธุ์ใหม่) ประกอบด้วย Influenza A 11 ราย, Influenza B 11 ราย, Influenza C 1 ราย, Adenovirus 1 ราย, Coronavirus OC43 1 ราย, Streptococcus pneumoniae 1 ราย, Bronchitis 5 ราย, Acute Nasopharyngitis 2 ราย, Pharyngitis 2 ราย, Common cold 1 ราย, RSV infection 3 ราย,
Tonsillitis 1 ราย
ผู้ป่วยอาการดีขึ้นและได้กลับบ้านแล้วจำนวน 56 ราย
จะเห็นว่า ระบบคัดกรอง ติดตามตัว และรักษาพยาบาลของไทยเรามีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐานไม่แพ้ชาติอื่นๆ
ยังไม่มีใครมาเสียชีวิตในบ้านเรา ไม่มีใครมาติดเชื้อในบ้านเรา มีแต่ติดเชื้อมาจากเมืองจีน แล้วมารักษาที่เมืองไทยจนหาย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี