เป็นที่น่ายินดีว่าหลังจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้เชิญนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายอุตตม สาวนายน เข้าพบแล้ว ก็ได้มีการแถลงข่าวสำคัญที่จะเป็นผลใหญ่หลวงต่อบ้านเมืองในยามที่วิกฤตต่างๆ ประดังประเดเข้ามาทุกสารทิศ
โดยเฉพาะผลกระทบอันใหญ่หลวงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออกสินค้าเกษตร และภาคอสังหาริมทรัพย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า รัฐบาลพร้อมจะจัดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นวงเงินประมาณ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดแผกออกจากท่าทีก่อนหน้านี้ที่มุ่งเน้นแต่เรื่องการเพิ่มวันหยุด ผลักดันให้ผู้คนออกไปท่องเที่ยว และการแจกเงิน ซึ่งทำกันมาหลายครั้งหลายหนจนถูกทักท้วงกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ดังนั้นข่าวเรื่องการเตรียมอัดฉีดเงินวงเงิน1 ล้านล้านบาท เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับผลกระทบของวิกฤติทางเศรษฐกิจดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าจะทำอย่างไร และจะส่งผลอย่างไร
เพราะเรื่องแบบนี้ประเทศที่เขาประสบวิกฤติทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต่างก็เตรียมการรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจด้วยกันทั้งสิ้น
โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเผชิญหน้าโดยตรงกับการแพร่ระบาด ได้จัดการเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจังและเต็มกำลัง จนสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นทั่วประเทศจีน และส่งผลให้ไม่เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจตามที่บางประเทศคาดหวัง
ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ในฐานะเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ได้แถลงเรื่องสำคัญนี้หลังการประชุมคณะกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลาง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนว่านอกจากจีนจะต้องต่อสู้เอาชนะกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว จีนจะป้องกันและแก้ไขไม่ให้เกิดวิกฤติกระทบสู่ระบบเศรษฐกิจของจีน และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วย
เพื่อการนี้ รัฐบาลจีนได้จัดวงเงินสำหรับรับมือกับความเสียหายโดยตรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นจำนวนเงินสูงมากถึง 500,000 ล้านหยวน และที่สำคัญ ได้จัดเตรียมวงเงินถึง 10 ล้านล้านหยวน เพื่ออัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจีน และยืนยันว่าจะไม่ให้เกิดผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจของจีนเป็นอันขาด
ทันทีที่คำแถลงดังกล่าวถูกเผยแพร่ทั่วประเทศจีน ทำให้ความตระหนกตกใจและความวิตกกังวลจากผลกระทบที่จะเกิดแก่ระบบเศรษฐกิจและกิจการทั้งหลายทั่วประเทศจีนก็สร่างคลายไปในพริบตา ความคิดที่จะหยุดงาน ปิดกิจการชั่วคราว หรือเลิกจ้างพนักงาน หรือหยุดใช้จ่ายเงินหรือชะลอการลงทุนได้สิ้นสุดลง ทุกภาคส่วนเตรียมพร้อมที่จะเดินหน้าทุกอย่างตามปกติ
ด้วยความมั่นใจว่าแม้จะมีความเสียหายเกิดขึ้นหรือได้รับผลกระทบต่อกิจการต่างๆ ก็จะได้รับการเยียวยาช่วยเหลือจากรัฐบาลจีน ดังนั้นจึงทำให้ระบบเศรษฐกิจของจีนสามารถเดินหน้าไปได้โดยแทบจะไม่ต้องจ่ายเงิน หรือเกิดความระส่ำระสายทั้งเศรษฐกิจและสังคมดังที่นักเศรษฐกิจตะวันตกคาดหมาย
นั่นเพราะการคำนึงถึงน้ำหนักแห่งปัญหาและความมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดต่อสู้เอาชนะอุปสรรคและวิกฤติทั้งหลายที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นทั่วประเทศในเวลาอันรวดเร็ว
แน่นอนว่าย่อมกระตุ้นเตือนความคิดของประเทศต่างๆ ให้ตระหนักในเรื่องนี้มากขึ้น ดังนั้นประเทศไทยซึ่งเคยมุ่งเน้นแต่เรื่องส่งเสริมให้คนหยุดงานไปเที่ยวและการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเพลาเบาบางลง กระทั่งถูกเบรกโดยนายกรัฐมนตรีโดยตรง
ดังนั้นการกำหนดวงเงินเพื่ออัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 1 ล้านล้านบาทนี้จึงก่อให้เกิดความมั่นใจและความเชื่อมั่นว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศจะไม่ถูกกระทบหรือเสียหายมากเกินไป เพราะเป็นการกำหนดได้อย่างทันท่วงที และก่อให้เกิดความมั่นใจขึ้นแล้ว
จึงคงเหลือแต่ว่าจะอัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านบาทนี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตรงจุดไหนที่จะก่อเกิดพลังและอานุภาพในการรับมือกับวิกฤตได้เป็นอย่างดี และยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้รุดหน้าต่อไปได้อีก ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการจะรดน้ำต้นไม้ที่โคนหรือที่ยอดหรือที่กิ่งใบ แม้จะเป็นการรดน้ำเหมือนกัน แต่ย่อมได้ผลไม่เหมือนกันฉันใด การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจก็ฉันนั้น
ดังนั้นเพื่อเป็นข้อพิจารณาในเรื่องนี้ จึงเห็นว่ารัฐบาลสมควรที่จะมุ่งเน้นการอัดฉีดเงินไปยังจุดเปราะบางที่สุดของระบบเศรษฐกิจไทยดังนี้คือ
จุดที่หนึ่ง การอัดฉีดเงินเข้าสู่ภาคการท่องเที่ยว การส่งออกผลไม้ และการส่งออกภาคเกษตร ทุกสาขา ทุกกิจการ เพื่อไม่ให้เลิกจ้าง เพื่อไม่ให้หยุดกิจการ เพื่อไม่ให้เกิดหนี้เสียขึ้นในระบบ และเพื่อพร้อมรองรับการขับเคลื่อนต่อไปให้ทันท่วงที
จุดที่สอง การอัดฉีดเงินลงสู่ชนบททั่วประเทศเพื่อให้เกิดการไหลเวียนของเงินในชนบทสู่เมืองและเมืองหลวง ดังเช่นการตั้งโครงการจ้างขุดลอกแม่น้ำ แหล่งน้ำ สายน้ำ เขื่อนต่างๆ ทั่วประเทศให้แล้วเสร็จในระยะเวลา 2-3 เดือนจากนี้ไป
จุดที่สาม การอัดฉีดเงินเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและหนี้เสียในระบบของภาคส่วนต่างๆ เพื่อไม่ให้ลามเข้าสู่ระบบสถาบันการเงิน ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่โตที่แก้ไขไม่ตก
จุดที่สี่ การอัดฉีดเงินเข้าสู่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว ด้านการค้า และการคมนาคมตามพื้นที่ชายแดนทุกภาคของประเทศ
เมื่อเป็นเช่นนี้เงิน 1 ล้านล้านบาทก็จะหมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยถึง 10 ล้านล้านบาท ในปีนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี