วันศุกร์ ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ ด้วยมติ 7-2 ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ปรากฏว่า มีการเคลื่อนไหวโจมตีศาล และรัฐบาลอย่างรุนแรง
บางส่วน นำเสนอข้อมูลบิดเบี้ยวไปจากข้อเท็จจริงอย่างไม่น่าให้อภัย
บางส่วน ใช้ข้ออ้างแบบข้างๆ คูๆ เพื่อปกป้องพรรคอนาคตใหม่ แบบ “ตรรกะป่วย”
1. สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐรับทราบคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ยุบพรรคอนาคตใหม่ สหรัฐสนับสนุนการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยทั่วโลกอย่างหนักแน่น แม้สหรัฐจะไม่ได้ชื่นชอบหรือสนับสนุนพรรคการเมืองใดในไทยเป็นพิเศษ แต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 6 ล้านคนเลือกพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม การตัดสินยุบพรรคนี้จึงเสี่ยงต่อการตัดสิทธิ์ผู้ลงคะแนนเหล่านี้ และก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับผู้แทนของพวกเขาในระบบการเลือกตั้งของไทย
ในฐานะคนไทย ขอบอกกับสถานทูตสหรัฐฯ ว่า ไทยเป็นชาติเอกราช มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรที่ผ่านการทำประชามติของ“คนไทย” ใช้บังคับเป็นของตนเอง โดยมิได้อยู่ภายใต้ปกครองของสหรัฐ หรือประเทศไหนๆ
ที่ผ่านมา ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลไทย หรือสถานทูตไทยฯ จะไป “เสือก” กับคดีความในประเทศสหรัฐ
แล้วสหรัฐจะมา “แส่” กับประเทศไทยทำไม?
การกำหนดข้อห้ามและบทลงโทษที่ใช้ในคดีนี้ ล้วนอยู่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่พรรคการเมืองทุกพรรคทราบกติการ่วมกันตั้งแต่ก่อนจะตั้งพรรคการเมืองและลงเลือกตั้ง
ในสหรัฐ พรรคการเมืองสามารถกู้ยืมเงินจากหัวหน้าพรรคได้ถึง 191 ล้านบาท เกินเพดานที่กฎหมายกำหนด หรือไม่? บทลงโทษตามกฎหมายสหรัฐแตกต่างจากไทย ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะความผิดตามกฎหมายทั่วไป บทลงโทษตามกฎหมายแต่ละประเทศก็ล้วนแต่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
การทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในประเทศไทย ก็เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ซึ่งก่อนหน้าที่ก็เคยตัดสินคดีเป็นคุณกับพรรคฝ่ายค้านหลายคดี
2. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ อดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่และอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่อีกหลายคน ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยการกระทบกระเทียบเหน็บแนมศาลรัฐธรรมนูญ โดยเริ่มต้นการอภิปรายด้วยการแนะนำตัวว่า “กระผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคที่มีประชาชน 6.3 ล้านคนเลือกมา แต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ 7 คนยุบไปครับ”
การที่มี สส.ที่อุตส่าห์สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนรุ่นใหม่แสดงออกถึงสติปัญญาวิธีคิดเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่ามีวุฒิภาวะทางการเมือง และมีคุณภาพทางความคิดแค่ไหน? หรือ “กลวง” อย่างไรบ้าง?
ถ้าใช้ “ตรรกะป่วย” อย่างนี้...
ต่อไปนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายใดที่ผ่านสภาไม่ได้เลย เพราะตุลาการมีแค่ 9 คน แต่ สส.มีถึง 500 คน อ้างว่ามาจากประชาชนทั่วประเทศ
เช่นเดียวกัน ที่ประชุม สส. กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ที่เคยมีมติขับ 4 สส.ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะ สส.มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหลายหมื่นคน แต่ที่ประชุมจำนวนหลักร้อยจะมาขับออกได้อย่างไร
คดีแพ่ง คดีอาญาทั้งหลาย ผู้พิพากษาแต่ละคดี จำนวน 2-3 ท่าน ก็ไม่สามารถจะตัดสินคดีได้ จะไปพิพากษาให้บริษัทล้มละลาย หรือลงโทษขบวนการปล้นฆ่าที่จำนวนคนในขบวนการเกิน 3 คน ก็ไม่ได้
ทั้งหมด เป็นตรรกะป่วย สะท้อนความคิดแบบเห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรง
ประการสำคัญที่สุด คือ ศาลรัฐธรรมนูญ (รวมถึงศาลอื่นๆ) ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้สำคัญว่าจะมีจำนวนมากแค่ไหน หากทำหน้าที่ตามกฎหมายและบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ก็ย่อมมีผลสมบูรณ์ มีความชอบธรรมเต็มร้อย ไม่ควรจะไปหยิบยกตัวเลขจำนวนคนที่เลือกตนเองมาข่มขู่เสียดสี
อาจารย์ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ระบุว่า
“รัฐบาลเป็นฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญ มีการเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา สมาชิกเสียงข้างมากเลือกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี คุณกับพวกอ้างว่าเป็นเผด็จการ
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นฝ่ายตุลาการตามรัฐธรรมนูญ มีคำชี้ขาดให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ คุณกับพวกอ้างว่า คำวินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คุณกับพวกยุยงส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลว่าเป็นเผด็จการและเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่รัฐบาลไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ
นี่คือพฤติกรรมที่คุณกับพวกเรียกว่าประชาธิปไตยใช่มั้ย?”
3. มีคนบางกลุ่ม พยายามบิดเบือนสาระสำคัญแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
นำไปใช้อ้างอิงเพื่อเสียดสี เย้ยหยัน ปลุกระดมให้เกิดการต่อต้าน บนพื้นฐานความเท็จ
เช่น อ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า “เงินกู้ คือ เงินบริจาค” –“เงินกู้ คือ รายได้” ฯลฯ เพื่อทำให้คนเข้าใจผิดว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยผิดเพี้ยนจากหลักการพื้นฐาน ซึ่งแท้จริงแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญมิได้วินิจฉัยเช่นนั้นเลย
ขอย้ำด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญชัดๆ ระบุว่า
“...พรรคการเมืองมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน และเงินกู้ยืมแม้มิได้เป็นรายได้แต่ก็เป็นรายรับ และเป็นเงินทางการเมือง การดําเนินการเกี่ยวกับการได้มาและการใช้จ่ายเงินของพรรคการเมืองจึงต้องกระทําภายในขอบเขตที่กฎหมายกําหนดไว้เท่านั้น เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว การกู้ยืมเงินของพรรคการเมืองจึงต้องสอดคล้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
คําว่า “บริจาค” และ “ประโยชน์อื่นใด” ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เป็นคําที่มีความหมายเฉพาะในกฎหมายนี้เพื่อกําหนดสิ่งที่อยู่ในขอบข่ายบังคับแห่งกฎหมายในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ต้องการควบคุมการสนับสนุนทางการเงินที่ให้แก่พรรคการเมืองให้เป็นอิสระจากการถูกครอบงําของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า งบการเงินประจําปี 2561 ของผู้ถูกร้องมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้อยู่เพียง 1,490,537 บาท แต่ผู้ถูกร้องกลับทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคผู้ถูกร้อง รวม 2 ฉบับ รวมเป็นจํานวนเงินสูงถึง 191,200,000 บาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคผู้ถูกร้องที่สามารถคํานวณเป็นเงินได้ เป็นการทําสัญญากู้ยืมเงินที่ไม่เป็นตามปกติทางการค้าและไม่เป็นไปตามปกติวิสัยของการให้กู้ยืมเงินและการชําระหนี้เงินกู้ยืม ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่ผู้ถูกร้องที่สามารถคํานวณเป็นเงินได้ และเมื่อรวมประโยชน์อื่นใดที่ผู้ถูกร้องได้รับจากเงินกู้ยืมดังกล่าวกับเงินที่ นายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ ได้บริจาคให้แก่ผู้ถูกร้องในปี 2562 จํานวน 8,500,000 บาทแล้ว ย่อมชัดแจ้งว่าเป็นกรณีการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อปีซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 66 วรรคสอง
จากข้อเท็จจริงพฤติการณ์และพยานหลักฐานดังกล่าวเห็นว่า การกู้ยืมเงินของผู้ถูกร้องมีเจตนาหลีกเลี่ยงการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นตามมาตรา 66 เมื่อการรับบริจาคดังกล่าวต้องห้ามตามมาตรา 66 จึงเป็นการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นโดยรู้ หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 72 กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกร้องกระทําการฝ่าฝืนมาตรา 72 อันเป็นเหตุให้สั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามมาตรา 42วรรคสอง ประกอบมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3)…”
สารส้ม

มันมาถึงจุดนี้ได้ไง!!! 'ชูวิทย์' ชี้ 'บิ๊กโจ๊ก' ไม่ยอมตายเดี่ยว! พ่วงระเบิดพร้อมพังทั้งองค์กร
ใครกันแน่ ไม่มีอารยะ! 'กรวีร์'ตอกหน้า'เพื่อไทย' ต้องทบทวนแนวทาง-ยกระดับตัวเอง
'เอกนิติ' รับปล่อย 'คนละครึ่งพลัส เฟส 2' ก่อนยุบสภา 'นายกฯ'ให้ศึกษาอยู่
โฆษกรัฐบาลเผยตัวเลขจับสแกมเมอร์ 38 วัน มูลค่า 3.5 หมื่นล้าน ชี้สถิติครึ่งปีแรก แค่พันกว่าล้าน
'สีหศักดิ์'รับเตรียมปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย 12 พ.ย.นี้ ปัดถูกสหรัฐฯ กดดัน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี