หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ ด้วยมติ 7-2 ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ปรากฏว่า มีการเคลื่อนไหวโจมตีศาล และรัฐบาลอย่างรุนแรง
บางส่วน นำเสนอข้อมูลบิดเบี้ยวไปจากข้อเท็จจริงอย่างไม่น่าให้อภัย
บางส่วน ใช้ข้ออ้างแบบข้างๆ คูๆ เพื่อปกป้องพรรคอนาคตใหม่ แบบ “ตรรกะป่วย”
1. สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐรับทราบคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ยุบพรรคอนาคตใหม่ สหรัฐสนับสนุนการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยทั่วโลกอย่างหนักแน่น แม้สหรัฐจะไม่ได้ชื่นชอบหรือสนับสนุนพรรคการเมืองใดในไทยเป็นพิเศษ แต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 6 ล้านคนเลือกพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม การตัดสินยุบพรรคนี้จึงเสี่ยงต่อการตัดสิทธิ์ผู้ลงคะแนนเหล่านี้ และก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับผู้แทนของพวกเขาในระบบการเลือกตั้งของไทย
ในฐานะคนไทย ขอบอกกับสถานทูตสหรัฐฯ ว่า ไทยเป็นชาติเอกราช มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรที่ผ่านการทำประชามติของ“คนไทย” ใช้บังคับเป็นของตนเอง โดยมิได้อยู่ภายใต้ปกครองของสหรัฐ หรือประเทศไหนๆ
ที่ผ่านมา ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลไทย หรือสถานทูตไทยฯ จะไป “เสือก” กับคดีความในประเทศสหรัฐ
แล้วสหรัฐจะมา “แส่” กับประเทศไทยทำไม?
การกำหนดข้อห้ามและบทลงโทษที่ใช้ในคดีนี้ ล้วนอยู่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่พรรคการเมืองทุกพรรคทราบกติการ่วมกันตั้งแต่ก่อนจะตั้งพรรคการเมืองและลงเลือกตั้ง
ในสหรัฐ พรรคการเมืองสามารถกู้ยืมเงินจากหัวหน้าพรรคได้ถึง 191 ล้านบาท เกินเพดานที่กฎหมายกำหนด หรือไม่? บทลงโทษตามกฎหมายสหรัฐแตกต่างจากไทย ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะความผิดตามกฎหมายทั่วไป บทลงโทษตามกฎหมายแต่ละประเทศก็ล้วนแต่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
การทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในประเทศไทย ก็เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ซึ่งก่อนหน้าที่ก็เคยตัดสินคดีเป็นคุณกับพรรคฝ่ายค้านหลายคดี
2. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ อดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่และอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่อีกหลายคน ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยการกระทบกระเทียบเหน็บแนมศาลรัฐธรรมนูญ โดยเริ่มต้นการอภิปรายด้วยการแนะนำตัวว่า “กระผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคที่มีประชาชน 6.3 ล้านคนเลือกมา แต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ 7 คนยุบไปครับ”
การที่มี สส.ที่อุตส่าห์สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนรุ่นใหม่แสดงออกถึงสติปัญญาวิธีคิดเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่ามีวุฒิภาวะทางการเมือง และมีคุณภาพทางความคิดแค่ไหน? หรือ “กลวง” อย่างไรบ้าง?
ถ้าใช้ “ตรรกะป่วย” อย่างนี้...
ต่อไปนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายใดที่ผ่านสภาไม่ได้เลย เพราะตุลาการมีแค่ 9 คน แต่ สส.มีถึง 500 คน อ้างว่ามาจากประชาชนทั่วประเทศ
เช่นเดียวกัน ที่ประชุม สส. กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ที่เคยมีมติขับ 4 สส.ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะ สส.มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหลายหมื่นคน แต่ที่ประชุมจำนวนหลักร้อยจะมาขับออกได้อย่างไร
คดีแพ่ง คดีอาญาทั้งหลาย ผู้พิพากษาแต่ละคดี จำนวน 2-3 ท่าน ก็ไม่สามารถจะตัดสินคดีได้ จะไปพิพากษาให้บริษัทล้มละลาย หรือลงโทษขบวนการปล้นฆ่าที่จำนวนคนในขบวนการเกิน 3 คน ก็ไม่ได้
ทั้งหมด เป็นตรรกะป่วย สะท้อนความคิดแบบเห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรง
ประการสำคัญที่สุด คือ ศาลรัฐธรรมนูญ (รวมถึงศาลอื่นๆ) ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้สำคัญว่าจะมีจำนวนมากแค่ไหน หากทำหน้าที่ตามกฎหมายและบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ก็ย่อมมีผลสมบูรณ์ มีความชอบธรรมเต็มร้อย ไม่ควรจะไปหยิบยกตัวเลขจำนวนคนที่เลือกตนเองมาข่มขู่เสียดสี
อาจารย์ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ระบุว่า
“รัฐบาลเป็นฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญ มีการเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา สมาชิกเสียงข้างมากเลือกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี คุณกับพวกอ้างว่าเป็นเผด็จการ
ศาลรัฐธรรมนูญเป็นฝ่ายตุลาการตามรัฐธรรมนูญ มีคำชี้ขาดให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ คุณกับพวกอ้างว่า คำวินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คุณกับพวกยุยงส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลว่าเป็นเผด็จการและเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่รัฐบาลไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ
นี่คือพฤติกรรมที่คุณกับพวกเรียกว่าประชาธิปไตยใช่มั้ย?”
3. มีคนบางกลุ่ม พยายามบิดเบือนสาระสำคัญแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
นำไปใช้อ้างอิงเพื่อเสียดสี เย้ยหยัน ปลุกระดมให้เกิดการต่อต้าน บนพื้นฐานความเท็จ
เช่น อ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า “เงินกู้ คือ เงินบริจาค” –“เงินกู้ คือ รายได้” ฯลฯ เพื่อทำให้คนเข้าใจผิดว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยผิดเพี้ยนจากหลักการพื้นฐาน ซึ่งแท้จริงแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญมิได้วินิจฉัยเช่นนั้นเลย
ขอย้ำด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญชัดๆ ระบุว่า
“...พรรคการเมืองมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน และเงินกู้ยืมแม้มิได้เป็นรายได้แต่ก็เป็นรายรับ และเป็นเงินทางการเมือง การดําเนินการเกี่ยวกับการได้มาและการใช้จ่ายเงินของพรรคการเมืองจึงต้องกระทําภายในขอบเขตที่กฎหมายกําหนดไว้เท่านั้น เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว การกู้ยืมเงินของพรรคการเมืองจึงต้องสอดคล้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
คําว่า “บริจาค” และ “ประโยชน์อื่นใด” ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เป็นคําที่มีความหมายเฉพาะในกฎหมายนี้เพื่อกําหนดสิ่งที่อยู่ในขอบข่ายบังคับแห่งกฎหมายในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ต้องการควบคุมการสนับสนุนทางการเงินที่ให้แก่พรรคการเมืองให้เป็นอิสระจากการถูกครอบงําของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า งบการเงินประจําปี 2561 ของผู้ถูกร้องมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้อยู่เพียง 1,490,537 บาท แต่ผู้ถูกร้องกลับทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคผู้ถูกร้อง รวม 2 ฉบับ รวมเป็นจํานวนเงินสูงถึง 191,200,000 บาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคผู้ถูกร้องที่สามารถคํานวณเป็นเงินได้ เป็นการทําสัญญากู้ยืมเงินที่ไม่เป็นตามปกติทางการค้าและไม่เป็นไปตามปกติวิสัยของการให้กู้ยืมเงินและการชําระหนี้เงินกู้ยืม ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่ผู้ถูกร้องที่สามารถคํานวณเป็นเงินได้ และเมื่อรวมประโยชน์อื่นใดที่ผู้ถูกร้องได้รับจากเงินกู้ยืมดังกล่าวกับเงินที่ นายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ ได้บริจาคให้แก่ผู้ถูกร้องในปี 2562 จํานวน 8,500,000 บาทแล้ว ย่อมชัดแจ้งว่าเป็นกรณีการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อปีซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 66 วรรคสอง
จากข้อเท็จจริงพฤติการณ์และพยานหลักฐานดังกล่าวเห็นว่า การกู้ยืมเงินของผู้ถูกร้องมีเจตนาหลีกเลี่ยงการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นตามมาตรา 66 เมื่อการรับบริจาคดังกล่าวต้องห้ามตามมาตรา 66 จึงเป็นการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นโดยรู้ หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 72 กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกร้องกระทําการฝ่าฝืนมาตรา 72 อันเป็นเหตุให้สั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามมาตรา 42วรรคสอง ประกอบมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3)…”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี