ปัญหาความแตกแยกในสังคมไทยในระหว่างปี2544 ถึงปีนี้ 2563 เป็นห้วงระยะเวลา 2 ทศวรรษ ทางด้านการเมืองที่แหลมคมส่งผลให้ประเทศและสังคมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ถึงขั้นเรียกว่า หมิ่นเหม่ต่อภาวะที่อาจจะเรียกว่าสงครามกลางเมืองใกล้เต็มทน ระหว่างฝ่ายสนับสนุน อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีอาญาอยู่ในต่างประเทศนายทักษิณ ชินวัตร กับครอบครัว กับฝ่ายต่อต้านระบอบนายทักษิณเหตุการณ์ในปี 2548-2549,2551-2553,2556-2557
คงไม่ต้องทบทวนความจำว่าคนไทยต้องมีการสูญเสียไปมากมายเท่าไหร่กับความขัดแย้งที่ระบอบทักษิณก่อขึ้นอย่าได้ไปกล่าวหาทหารว่าก่อรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 และวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เด็ดขาดเพราะคณะทหารเขาไม่ได้กระทำเพื่อตัวเองเขาต้องรัฐประหารเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศมากกว่านักเศรษฐศาสตร์การเมืองคงจำได้ดีว่าประเทศไทยมีการรัฐประหารเพราะความจำเป็นเพราะต้องแก้ไขปัญหาจากนักการเมืองขัดแย้ง 4 ครั้งเท่านั้น คือ
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 จอมพลผินชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์,วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ยึดอำนาจรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ, วันที่ 19 กันยายน 2549 พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการของนายทักษิณ ชินวัตร และวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลที่ทำหน้าที่แทนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกปลดโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
การรัฐประหาร 2 ครั้งหลัง ของคณะทหารที่ก่อขึ้นนั้นมีเป้าหมายต้องการป้องกันสงครามกลางเมืองที่คนไทย 2 ฝ่าย จะต้องจับอาวุธออกมาเข่นฆ่ากันเพราะกลุ่มนักการเมืองผู้สูญเสียอำนาจที่หนีคดีอาญาอยู่ในต่างประเทศ การรัฐประหารนับเป็นทางออกเพื่อป้องปรามกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และปี 2550 ไม่สามารถแก้ไขจุดอ่อนทางการเมืองในประเทศไทยได้จึงเกิดรัฐธรรมนูญปี 2560 ขึ้นมาใช้เป็นกฎหมายกวาดล้างนักการเมืองขี้โกง
จะเห็นได้ว่าการที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจองค์กรอิสระโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญรวมไปถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง,คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและคณะกรรมการ ป.ป.ช.มากขึ้นการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองอย่าง ไทยรักไทย,พลังประชาชน และอนาคตใหม่นั้นเป็นเพราะอำนาจพิจารณาตามกฎหมายมหาชนไม่ใช่กฎหมายเอกชนตามปกติเพราะประเทศไทยมีกลุ่มนักธุรกิจการเมืองแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง
โดยเฉพาะความพยายามในรอบกว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านมาที่พรรคการเมืองหลายๆ พรรคมีนโยบาย 3 ประการ คือ การล้มปืน การล้มศาล การล้มเจ้า ซึ่งนับเป็นภยันตรายต่อบ้านเมืองเป็นอย่างมาก หากย้อนไปดูเหตุการณ์รัฐประหาร 2 ครั้งหลัง ในวันที่ 19 กันยายน 2549 และวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นั้นมีความเป็นไปได้ว่าระบอบการเมืองจอมโคตรโกงได้มีนโยบายที่จะลดอำนาจของศาลทุกระบบ ลดอำนาจกองทัพและลามไปถึงการจะล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
และที่น่าห่วงคือกลุ่มนักการเมืองหัวเอียงซ้ายที่หลายฝ่ายเรียกพวกนี้ว่าพวกซ้ายจัดดัดจริตที่กำลังแอบแฝงอยู่กับนักการเมืองอภิมหาโคตรโกงเข้ามาปลุกปั่นประชาชนคนรุ่นใหม่ สร้างเหตุการณ์รุนแรงเหมือนเหตุการณ์ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ซ้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี