นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพิ่งแถลงข่าวเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยเปิดเผยรายงานจากมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ ที่จัดอันดับประเทศที่มีความเข้มแข็งด้านความมั่นคงด้านสุขภาพ (Health security) โดยประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 6 จากทั้งหมด 195 ประเทศทั่วโลก และอันดับที่ 1ในเอเชีย สำหรับประเทศที่มีความพร้อมในการเตรียมตัวรับมือโรคระบาดดีที่สุดในโลกและมีระบบการป้องกันการติดเชื้อที่ดีที่สุดอย่างรอบคอบ สะท้อนความสามารถของไทยในการรับมือโรคระบาด ทำให้ไทยในขณะนี้ยังไม่เข้าสู่การแพร่ระบาดระดับ 3 และยังไม่มีคนตายจากไวรัส COVID-19 ในประเทศไทย
แต่ในที่สุด ก็เกิดกรณี “ปู่-ย่า-หลาน” ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงในไทย
นั่นคือ กรณีผู้ป่วยที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง มีอาการป่วย เข้าโรงพยาบาล แต่ปกปิดประวัติการเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง กว่าจะยอมเปิดปากยอมรับก็ได้แพร่เชื้อให้คนใกล้ชิด คือ ภรรยา และหลานไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังสร้างผลกระทบแก่คนรอบข้างของแต่ละคน ที่ต้องติดตามอาการ ปิดที่ทำงาน ปิดโรงเรียน หมอ พยาบาล เพื่อนร่วมงาน นักเรียน คนใกล้ชิด ต้องกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงไปนับร้อยคน ฯลฯ
1. นี่คือบทเรียนว่า แม้ขณะนี้ ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่วัคซีนพื้นฐานที่ดีที่สุดที่จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคร้าย คือ “ความไม่เห็นแก่ตัว”
ไม่กลัวเสียผลประโยชน์ส่วนตัว เสียเวลา กลัวว่าจะถูกกักตัว 14 วัน
แต่กลับเอาชีวิตคนอื่นๆ เข้ามาสู่ความเสี่ยงไปด้วย
ในยามนี้ คนในสังคมควรจะต้อง “มีจิตสำนึกสาธารณะ”
2. น่าคิดว่า หลังจากนี้ เมื่อโควิด-19 เป็นโรคระบาดร้ายแรง ผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจโรคและป้องกันการแพร่ระบาด น่าจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
มาตรา 49 ระบุว่า ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 52 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ หรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากผู้ป่วยจงใจปิดบังข้อมูลการเดินทางไปประเทศเสี่ยงไวรัสโคโรนา หรือไม่ยอมเข้ารับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายฉบับนี้ อาจมีโทษทางอาญาดังกล่าว
3. อย่างไรก็ตาม เราจะต้องหาทางป้องกัน มิให้มีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
ขณะเดียวกัน เราต้องหาวิธีการอยู่ร่วมกันในสังคม โดยลดความตึงเครียด มิให้เกิดความแตกแยก หรือความรุนแรงระหว่างกัน จากความหวาดกลัว โกรธแค้น หรือชิงชัง
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้โพสต์ข้อคิดคำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในเฟซบุ๊คส่วนตัว Yong Poovorawan ว่าด้วยเรื่อง “โควิด-19 กับ ผลกระทบทางสังคมและจิตใจ (Psycho-social)” ระบุว่า
“โรคเกิดใหม่ ยังไม่รู้อะไรมาก และมีการระบาด จะมีผลกระทบทางสังคมและจิตใจมาก
เห็นได้ชัดตั้งแต่สมัย HIV เข้ามาสู่ประเทศไทยใหม่ๆ ใครติดเชื้อ HIV จะมีผลกระทบทางจิตใจ และแทบจะอยู่ในสังคมไม่ได้
ทำนองเดียวกัน ขณะนี้โรคโควิด-19 ก็เช่นเดียวกัน ทุกคนหวาดกลัว และมีผลกระทบทางสังคมค่อนข้างรุนแรง รวมทั้งจิตใจด้วย ไม่มีใครอยากเป็นแน่นอน
ผู้ป่วย จะถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ไม่ต้องการ ทั้งที่ความจริงไม่มีใครอยากป่วย
สิ่งที่จะกระทบมาก เมื่อผู้ป่วยหายป่วยแล้ว จะกลับเข้ามาอยู่ในสังคมได้อย่างไร
เราต้องแยกเรื่องให้ออก การไม่บอกความจริงก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็ควรจะต้องได้รับการลงโทษ กฎหมายของโรคติดต่ออันตราย ก็มีอยู่แล้ว
แต่บางครั้งก็มีเหตุผล ที่อาจจะเป็นวงจร ด้วยความน่ากลัวของโรค ที่ไม่อยากให้ใครรู้
เจ้าตัวอาจจะคิดว่าไม่เป็นโควิด-19 และไม่บอกความจริง
ถ้าบอก ก็จะถูกตรวจมากมาย รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าทางการจะให้เบิกค่าตรวจเชื้อได้ ตามสิทธิ์ แต่เมื่อเข้าโรงพยาบาลเอกชน เพื่อความสะดวก ค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆก็จะเพิ่มเป็นจำนวนมาก ชุดหมี ข้าวของเครื่องใช้ ดังที่เห็นในสื่อออนไลน์
สิ่งที่ไม่ถูกต้องจะต้องถูกแก้ไข ให้ทุกคนซื่อสัตย์ มีบทลงโทษตามกฎหมายเฉพาะบุคคล
ผลกระทบทางจิตใจและสังคม ของโรคโควิด-19 ขณะนี้ รุนแรงดังเห็นได้จากสื่อสังคม ที่รุมประณาม ด้วยถ้อยคำวาจา
บุคคลข้างเคียง รวมทั้งเด็กติดเชื้อโควิด-19 จะถูกคุกคามทางจิตใจและสังคม (bully)
ผู้ป่วย ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ เมื่อหายจากโรคแล้ว จะกลับเข้าสู่สังคมได้อย่างไร
ทุกคนจะต้องรู้จักการให้อภัย และอาจจะมีหน่วยงาน โดยเฉพาะทางด้านจิตวิทยา เข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะเด็กนักเรียน เพื่อลดผลกระทบทางสังคมและจิตใจ
อิทธิพลของสื่อสังคม กับการคุกคามทางจิตใจ และสังคมในปัจจุบันค่อนข้างรุนแรงมาก
เราคงต้องมาช่วยกัน ลดผลกระทบทางสังคมและจิตใจ
โรคโควิด-19 ยังคงอยู่กับเรา ไปอีกนานพอสมควรจนกว่าจะควบคุมโรคได้ หรือ มียา วัคซีนป้องกัน ความกลัวต่างๆ ก็จะลดน้อยลง
การแก้ปัญหาโรคอุบัติใหม่ จำต้องแก้ไขพร้อมกันทุกด้านแก้ปัญหา ป้องกันโรคไปด้วยกัน รวมทั้งต้องช่วยกันลดผลกระทบทางสังคมและจิตใจ เพื่อให้สังคมของเราเป็นสังคมที่น่าอยู่ และอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข”
4. สิ่งสำคัญในวันนี้ คือ อย่าให้ “โควิด-19” ทำให้เรากลายเป็นเหมือน “ซอมบี้-ผีดิบ” ที่ไร้หัวจิตหัวใจ
ยังไม่ทันได้ติดเชื้อ หรือแม้แต่ติดเชื้อไปแล้ว ก็ไม่ควรให้เชื้อโรคมันทำลายความเป็นมนุษย์ของเรา
โรคนี้ รักษาให้หายได้
เราอย่าทำลายความเป็นมนุษย์ของกันและกันไปเสียก่อน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี