การเข้ามาสู่ตำแหน่ง “ประธานาธิบดี” ในระบอบประชาธิปไตยอาจมีกรรมวิธีของตนเอง ที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” แต่การจะบริหาร “ราชการ” หรืองานในหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดีให้ประสบผลสำเร็จก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดนัลด์ ที. ฟิลลิปส์ผู้ประพันธ์หนังสือ “Lincoln on Leadership: Executive Strategies for Tough Times” จึงมักเรียก “บทเรียนอันเจ็บแสบ” เหล่านี้ว่า “Learning Curves”และนักบริหารในกรมกองหรือหน่วยงานของเอกชน ก็มักจะต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาอุปสรรคเหล่านี้ด้วยตนเอง หรือหากโชคดี ก็จะมีผู้อาวุโสเพียบด้วยประสบการณ์ ชี้ช่องทางให้ (Learning Curves = เส้นโค้งแห่งการเรียนรู้)
ในกรณี วิกฤติแรกที่ประธานาธิบดีลินคอล์นเผชิญหน้า คือวิกฤติ “ป้อมปราการซัมเตอร์” ที่ฝ่ายใต้เตรียมพร้อมจะเข้ายึดในมลรัฐเซาท์ แคโรไลนา และที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเสียงแตก ประธานาธิบดีพยายามจะแสวงหาทางออกที่ทุกคน (หรือเสียงส่วนใหญ่) สนับสนุน และคิดว่าได้เห็นทางออกแล้ว โดยจะส่งเสบียงอาหารไปให้กองกำลังของฝ่ายรัฐบาล (สหภาพ) โดยมีเรือปืนและอาวุธอีกลำหนึ่ง ทำหน้าที่คุ้มครองอยู่ห่างๆ ในกรณีที่เรือขนเสบียงถูกโจมตี จึงจะเข้าขัดขวาง แต่แผนยุทธการที่ดูดีและแก้ปัญหาให้ลินคอล์นได้นี้ กลับถูก “นักเลงมือดี” (ไม่ทราบเป็นใคร) ที่เมื่อรับคำสั่งจากประธานาธิบดีให้ส่งเรือปืนไปคุ้มกันเรือขนเสบียง ณ ป้อมซัมเตอร์ กลับสั่งการให้เรือรบดังกล่าววิ่งไปอีกป้อมหนึ่ง คนละป้อมกัน (อาจจะคล้ายกับในเรื่องรามเกียรติ์ ที่หนุมานเหาะเกินลงกา) ในกรณีนี้ ลินคอล์นคิดไม่ถึงว่าจะมีการดัดแปลงคำสั่งให้ไปคนละที่กับเป้าหมาย และท่านก็ไม่คิดจะสอบสวนว่าใครคือผู้เปลี่ยนแปลงคำสั่งของท่านแต่ท่านก็อาจจะตระหนักได้อยู่ว่า ใครคือผู้นั้น แต่ก็ไม่อยากจะสาวหาความ ถือเสียว่าเป็นบทเรียนครั้งแรกของประธานาธิบดีมือใหม่หัดขับ แต่การดัดแปลงคำสั่งกลับมีผลดีต่อท่านประธานาธิบดี ซึ่งประชาชนฝ่ายสหภาพ (ฝ่ายเหนือ) กลับเห็นอกเห็นใจและสนับสนุนท่านลินคอล์น ให้ประกาศสงครามกับมลรัฐฝ่ายใต้
นอกจากบทเรียนครั้งแรกนี้แล้ว ต่อมาก็ยิ่งจะมีบทเรียนครั้งสำคัญ หลังจากเปิดศึกสงครามกันระหว่างฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ในสมรภูมิครั้งแรกที่ทุ่งวัวกระทิง หรือสมรภูมิ “บูลรัน” (Bull Run)ในมลรัฐเวอร์จีเนีย ซึ่งไม่ห่างไกลจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มากนัก ฝ่ายเหนือได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปเมื่อสิ้นแสงตะวัน ผู้คนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ต่างก็ตระหนกตกใจ และคิดไม่ถึงว่าฝ่ายสหภาพจะพ่ายแพ้ขึ้นได้ ขณะที่ฝ่ายใต้ (สมาพันธรัฐ) ก็เริงร่าที่ประสบชัยชนะ และดูแคลนพวกแยงกี้ (ฝ่ายเหนือ) ว่าไม่ใช่ชาตินักรบ
ประธานาธิบดีลินคอล์น เมื่อทราบข่าวการพ่ายแพ้ที่บูลรันก็ไม่แสดงความท้อถอยแต่ประการใด ได้แต่งตั้งพลเอกแม็คเคลแลนเป็นผู้บัญชาการกองทัพโปโตแม็ค เพื่อกอบกู้วิกฤติ
พลเอกแม็คเคลแลน ผู้นี้ เป็นนายทหารที่ยังหนุ่ม อายุ 36 ปีจบจากเวสท์ปอยนท์ (West Point) และเพิ่งมีชัยชนะในสมรภูมิย่อยในแถบภาคตะวันตกของมลรัฐเวอร์จีเนีย และได้สมญานามจากสื่อมวลชนว่าเป็น “นโปเลียนหนุ่ม” หนังสือพิมพ์ไทม์ แห่งลอนดอนถึงกับพยากรณ์ไว้ว่า นายพลผู้ทระนงองอาจผู้นี้ จะเป็นผู้ที่ป้องกันประเทศเขาได้สำเร็จ แต่ในข้อเท็จจริง บุคคลผู้นี้ต่อมาจะสร้างปัญหาให้ลินคอล์น มิใช่น้อย
พลเอกแม็คเคลแลน ผู้นี้ แม้ว่าจะเรียนหนังสือเก่ง มีผลการเรียนดีจากเวสท์ปอยนท์ แต่ก็เป็นนายทหารที่ชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย โดยเนื้อแท้ขยาดกลัวการสูญเสียเลือดเนื้อ และหากเป็นไปได้ต้องการชัยชนะด้วยกลยุทธ์มากว่าการประจัญบาน ฉะนั้นจึงทุ่มเวลาฝึกซ้อมทหาร และชำนาญการจัดระเบียบกองทัพ แต่ไม่ชอบทุ่มเทกำลังในสนามรบ ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่แตกต่างจากแนวคิดของลินคอล์น ซึ่งภายหลังได้เร่งศึกษายุทธศาสตร์การรบจากตำราที่สอนกันในเวสท์ปอยท์
ฉะนั้นหลังจากที่นายพลแม็คเคลแลน ได้มาบัญชาทัพโปโตแม็ค เพื่อประจัญบานกับกองทัพของฝ่ายใต้ในมลรัฐเวอร์จีเนียเป็นเวลาหลายเดือน ก็ไม่มีข่าวการเคลื่อนไหวใดๆ จากนายพลหนุ่มผู้นี้ และอาจจะเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์จากนักข่าวสายการเมืองที่เริ่มจะซุบซิบนินทากันว่านายพลในกองทัพฝ่ายเหนือหลายๆ คนอาจฝักใฝ่พรรคเดโมแครต ซึ่งเอนเอียงไปทางฝ่ายสมาพันธ์(ฝ่ายใต้) และบางคนอาจไม่ต้องการเผด็จศึกหรือรบให้แตกหักกับสมาพันธ์ (ภาคใต้) อยากให้เกิดการเจรจา ฯลฯ จริงเท็จอย่างไร เมื่อท่านประธานาธิบดีทราบข่าวเช่นนี้ ท่านก็ไม่เคยให้เครดิต ยังคงศรัทธาเชื่อมั่นในคณะนายทหารของท่าน และพยายามจะเข้าพบเพื่อสอบถามการเตรียมการและแผนดำเนินงานของนายพลแม็คเคลแลนอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ
อาจเป็นไปได้ที่นายพลผู้ทระนงผู้นี้ ประเมินลินคอล์นผิดไปดังที่นักการเมืองในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หลายท่านก็เป็นเช่นนั้น เช่น เอ็ดวิน สแตนตัน (Edwin Stanton) ซึ่งลินคอล์นตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็เคยดูหมิ่นดูแคลนลินคอล์น ว่าเป็นนักกฎหมายบ้านนอก แต่เมื่อมาทำงานใกล้ชิดกันแล้ว ความคิดก็เปลี่ยนไป ส่วนแม็คเคลแลน ซึ่งเป็นเพื่อนกับสแตนตันก็มีอคติต่อลินคอล์นเช่นเดียวกัน และเอ่ยถึงลินคอล์นในทางลบเสมอเช่น กล่าวหาว่าเป็นกอริลล่าตัวจริง
เมื่อมีอคติแต่ดั้งเดิมเช่นนี้ จึงมักไม่ให้เกียรติกัน ฉะนั้นเมื่อลินคอล์น ต้องการพบ แม็คเคลแลน ก็หลบหลีกอยู่เสมอ และครั้งหนึ่งก็ปล่อยให้คอยเก้อในห้องรับแขก ขณะที่ตนเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ก็ขึ้นไปนอนเสียชั้นบน
ภายหลัง ประธานาธิบดี (มือใหม่) ก็เริ่มเรียนรู้ จึงเรียกให้นายพลแม็คเคลแลน มาพบที่ทำเนียบขาว เพื่อปรึกษาหารือ แทนที่ท่านจะเที่ยวเดินไปพบแม่ทัพนายกองดังที่เคยปฏิบัติมาก่อน
แต่ช่วงเวลาหลายเดือนก็ผ่านไป หาได้มีอะไรก้าวหน้าไม่ ในแนวรบซีกตะวันออก (บนคาบสมุทร มลรัฐเวอร์จีเนีย) เมื่อท่านประธานาธิบดีสอบถามนายพลแม็คเคลแลนว่ามีแผนอะไรก็ได้รับคำตอบว่ามีแผน แต่ไม่เคยเปิดเผยให้ท่านประธานาธิบดีทราบจนกระทั่งท่านประธานาธิบดี จำต้องออกคำสั่งในปลายเดือนมกราคมค.ศ. 1862 ให้ทุกฝ่ายเคลื่อนทัพ (ทั้งภาคตะวันออก และภาคตะวันตก)โดยแม่ทัพจากภาคตะวันตก (ในเทนเนสซี) ได้เคลื่อนทัพก่อน โดยนายพลจัตวากร้านต์ ได้เข้ายึดป้อมเฮนรี และโดเนลสัน ที่ซีกตะวันตกของมลรัฐเทนเนสซี ซึ่งนับว่าเป็นชัยชนะครั้งแรกของสงครามครั้งนี้ ส่วนทางแนวรบด้านตะวันออก ในคาบสมุทรเวอร์จิเนีย กองทัพโปโตแม็คไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด จนกระทั่งท่านประธานาธิบดีต้องทวงถาม นายพลแม็คเคลแลนจึงเปิดเผยว่าจะเดินทางอ้อมไปทางแหลมคาบสมุทรซีกตะวันออกของมลรัฐเวอร์จีเนีย และเดินทัพลงใต้มุ่งสู่เมืองริชมอนด์(Richmond)เมืองหลวงของมลรัฐเวอร์จีเนีย และใกล้เมืองริชมอนด์ ก็เกิดการรบที่เรียกว่า สมรภูมิ 7 วัน สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1682ที่กองทัพโปโตแม็ค ต้องพ่ายแพ้แก่ นายพลลี สร้างความอัปยศแก่พลเอกแม็คเคลแลน ซึ่งหมดขวัญกำลังใจ และเกิดกระบวนการกล่าวหากันไปมาระหว่างท่านแม่ทัพ กับ รัฐมนตรีกลาโหม (เอ็ดวิน สแตนตัน) ซึ่งทั้งสองก็เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ต้องมาขัดแย้งกันเพราะทัศนะที่ไม่ตรงกันในเรื่องการทำสงคราม
นับแต่นั้น ต่อมา นายพลแม็คเคลแลน ก็สงบเสงี่ยมลงและให้ความเคารพต่อท่านประธานาธิบดีดังที่ควร และท่านประธานาธิบดีก็ยังให้โอกาสแก่แม็คเคลแลนที่จะแก้หน้าในสมรภูมิที่สำคัญ เพื่อป้องกันกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. จากการรุกรานของข้าศึกจากฝ่ายใต้ นั่นคือ สมรภูมิแอนเทียททัม(Antietam) ซึ่งสามารถได้ชัยชนะจากกองทัพฝ่ายใต้ที่มีนายพลลี บัญชาทัพ
นับว่าเป็นการแก้หน้ากู้เกียรติคุณที่สูญเสียไปได้กลับคืนมาได้สำเร็จ หลังจากนั้นไม่นาน ท่านประธานาธิบดีก็สั่งย้ายแม็คเคลแลนออกจากกองทัพโปโตแม็ค ซึ่งเป็นความพอใจของเขาเองที่จะขอลาออกจากกองทัพในช่วงนั้น และในอีก 2 ปีข้างหน้าแม็คเคลแลน ก็จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในนามพรรคเดโมแครต แข่งกับลินคอล์น ซึ่งผลก็คือพ่ายแพ้นั่นเอง
ฉะนั้น โดยสรุป ในช่วงปีแรกของการเข้ารับตำแหน่งหน้าที่มีแต่อุปสรรคขวากหนามมากมาย จากการขาดประสบการณ์ในบังคับบัญชา และยังไม่รู้จักผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดีพอ ตลอดจนการขาดบุคลากรที่มีประสบการณ์ในการรบ ฉะนั้น ท่านประธานาธิบดีคนใหม่จึงมุ่งมั่นแสวงหาแม่ทัพนายกองที่เก่งกล้าสามารถ ซึ่งในที่สุดก็ได้นายพลกร้านต์ ที่จะตอบวัตถุประสงค์และเป้าหมายของสงครามในที่สุด
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี