สำนักข่าวอิศรา ตั้งข้อสังเกตว่า “...เบื้องลึกเบื้องหลังสาเหตุที่กระทรวงยุติธรรมมีคำสั่ง “โยกย้าย” พ.ต.ท.กรวัชร์ กลับไปรับตำแหน่งเดิม คือผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมนั้น มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากว่า เป็นการส่งสัญญาณว่า ฝ่ายดีเอสไออาจไม่ต้องการอุทธรณ์คดีฟอกเงินของนายพานทองแท้…”
ประเด็นคดีฟอกเงินนายพานทองแท้ กับการทำหน้าที่ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม สำคัญอย่างไร?
1. เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (ศาลปราบโกง) พิพากษายกฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร (ลูกชายนายทักษิณชินวัตร) คดีฟอกเงินกรุงไทย กรณีรับเช็ค 10 ล้านบาท จากนายวิชัย กฤษดาธานนท์อดีตผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร สืบเนื่องจากที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้เครือกฤษดามหานครโดยทุจริต
คดีนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้ส่งสำนวนให้อัยการฟ้อง เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง อัยการต้องทำหนังสือสอบถามไปยังฝ่ายดีเอสไอว่าควรอุทธรณ์คดีดังกล่าวหรือไม่ แต่จนถึงปัจจุบันฝ่ายดีเอสไอยังไม่มีคำตอบ
ขณะนี้ ทราบว่า ฝ่ายอัยการได้ทำเรื่องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์แก่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กว่า 4 ครั้งแล้ว
จะครบกำหนดในวันที่ 25 เม.ย. 2563 ที่จะถึงนี้
จนป่านนี้ ยังคิดไม่ออกอีกหรือว่าจะอุทธรณ์หรือไม่ อย่างไร?
2. กรณีขอชี้ชัดไปเลยว่า อย่างไรเสีย ทั้งดีเอสไอและอัยการ คงจะต้องอุทธรณ์
เพราะถ้าไม่อุทธรณ์ หรือยื่นแบบขอไปที “มวยล้ม” เชื่อแน่ว่า ทำนบแห่งวิกฤติศรัทธาพังทลายแน่นอน
และจะถาโถมถล่มไปถึงรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ยกเว้น
เพราะมันจะไม่ต่างจากการ “ตบหน้า” หรือ “ถุยน้ำลายใส่หน้า” วิญญูชนที่ติดตามเรื่องราวอันเป็นมหากาพย์
3. คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีนี้ คือ ยกฟ้อง นายพานทองแท้รอดพ้นข้อหาฟอกเงิน
ถ้าไม่อุทธรณ์ คดีก็ถึงที่สุด
แต่ถ้าอุทธรณ์ นายพานทองแท้ก็ยังมีสิทธิต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไปเช่นกัน
จะผิดหรือถูก ศาลยุติธรรมจะเป็นผู้พิพากษาชี้ขาด
4. พิจารณาเพิ่มเติม ด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง
ย้อนกลับไปดูคำพิพากษาของศาลปราบโกง (ศาลชั้นต้น) ที่ออกมาว่า “ยกฟ้อง” นั้น
คดีดังกล่าว มีองค์คณะผู้พิพากษา 2 ราย มีความเห็นแย้งกัน สุดท้าย จึงต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 ที่ระบุให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากยอมเห็นด้วย
ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า จึงทำให้นายพานทองแท้ได้รับอานิสงส์
หากพิจารณาความเห็นแย้งในคำพิพากษาดังกล่าว จะยิ่งมองเห็นประเด็นและเหตุผลว่าทำไมจึงต้องอุทธรณ์
น.ส.ศิริพร กาญจนสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ไม่เห็นพ้องด้วยกับผู้พิพากษาองค์คณะที่พิพากษายกฟ้อง อาศัยอำนาจตามมาตรา 183 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงได้ทำความเห็นแย้งไว้หลังคำพิพากษา
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน มีความเห็นแย้งว่า ที่จำเลยให้การว่าเงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่จำเลยรับมาจากนายวิชัยได้เปลี่ยนสภาพเงินที่ได้รับจากการทุจริตกลายเป็นที่ได้จากการขายหุ้นและโอนมาหลายทอด จึงพ้นขั้นตอนของการฟอกเงิน และเปลี่ยนสภาพเป็นเงินดี เป็นความเข้าใจเอาเองของจำเลย แต่เงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่นายวิชัยโอนให้แก่จำเลยแทนนายรัชฎา บุตรชาย ตามแผนผังเส้นทางการเงิน และโอนเปลี่ยน
มือมาหลายทอด เป็นส่วนหนึ่งของเงินที่นายวิชัยกับพวกได้รับมาจากธนาคารกรุงไทย จากการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ
ในประการต่อมา ยังชี้ว่า จำเลยรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการขอและอนุมัติสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย และรับเงิน 10 ล้านบาท โดยรู้ว่าเป็นเงินส่วนหนึ่งของสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติโดยมิชอบอันเป็นความผิดมูลฐานในความผิดฐานฟอกเงินหรือไม่ โดยจากการวินิจฉัยข้างต้นแล้วว่า เงินดังกล่าวเป็นเงินที่นายวิชัยขายหุ้นบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็งฯ ต่อมาได้สั่งจ่ายเงิน10 ล้านบาท เข้าบัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงเทพของจำเลย ต่อมาจำเลยได้ถอนเงิน 10 ล้านบาท จากบัญชีออมทรัพย์ เข้าบัญชีกระแสรายวันธนาคารกรุงเทพ โดยพนักงานธนาคารกรุงเทพเบิกความยืนยันว่า เงินดังกล่าวเป็นก้อนเดียวกัน นอกจากนี้ จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินระหว่างนายวิชัย และจำเลย บัญชีการรับเงินและโอนเงินไม่ปรากฏนิติสัมพันธ์กัน เนื่องจากการตรวจสอบธุรกิจนำเข้ารถยนต์ตามที่จำเลยกล่าวอ้างไม่มีธุรกิจที่จำเลยร่วมลงทุนกันจริงกับนายรัชฎา บุตรนายวิชัย ทั้งจำเลยโอนย้ายเงินจากบัญชีที่รับโอนไปบัญชีอื่น และยังโอนเงินจากบัญชีที่โอนไปอีกบัญชีหนึ่ง
“...เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานโจทก์ว่า จำเลยรับโอนเงินจากนายวิชัยโดยไม่มีมูลหนี้ ทั้งก่อนการโอนเงิน 10 ล้านบาท ยังปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2546 นายวิชัยได้โอนเงินตามเช็คแก่จำเลย 26 ล้านบาท แต่ต่อมาเช็คดังกล่าวได้ถูกยกเลิก ด้วยเหตุผลการฝากเงินชำระหนี้ค่าหุ้นแก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาตที่จำเลยไม่รับฝากชำระ เช็คจึงถูกยกเลิกไป อันแสดงให้เห็นว่า จำเลยกับนายวิชัยมีการติดต่อกันใกล้ชิด
...ทั้งจำเลยซึ่งเป็นบุตรนายทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขณะนั้น จำเลยมีความสนิทสนมกับนายรัชฎา และไปมาหาสู่กันถึงบ้าน การที่ธนาคารกรุงไทย
อนุมัติสินเชื่อแก่เครือกฤษดามหานคร ทั้งที่ผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้จึงเป็นการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบแก่นายวิชัยกับพวก ด้วยความสัมพันธ์ใกล้ชิดของนายรัชฎากับจำเลย หากไม่มีการช่วยเหลือเอื้อประโยชน์จากบิดาจำเลย ธนาคารกรุงไทยจะไม่อนุมัติสินเชื่อโดยผิดหลักเกณฑ์ของธนาคาร ต่อมาปรากฏว่าเครือกฤษดามหานครไม่สามารถชำระหนี้แก่ธนาคารกรุงไทยได้
...ที่จำเลยได้ให้การต่อสู้ให้การในชั้นสอบสวน และเบิกความต่อศาล สรุปได้ว่าจำเลยพูดคุยในกลุ่มเพื่อนฝูงว่าประสงค์จะทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย นายรัชฎาซึ่งร่วมวงพูดคุยด้วย ใช้เวลาตัดสินเพียง 1 คืนโทรศัพท์มาแจ้งขอร่วมทำธุรกิจกับจำเลย และโอนเงินจำนวน 10 ล้านบาท ให้แก่จำเลย โดยขณะนั้นเป็นเพียงการพูดคุยและวางแผนในการทำธุรกิจ แต่ยังไม่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ จึงผิดวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจปกติ ทั้งเงินที่จำเลยรับโอนมารวมระยะเวลา 1 ปี ที่จำเลยโอนเงินคืน ก็ไม่ปรากฏการทำสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหลักฐานระหว่างกัน
.... จึงควรวินิจฉัยประการต่อไปว่า เงินจำนวน 10 ล้านบาท ที่จำเลยรับโอนมาจากนายวิชัย เป็นเงินที่จำเลยรับมาชำระหนี้อย่างใดหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเบิกความว่าไม่เคยร่วมประกอบธุรกิจใดกับนายวิชัย จึงไม่มีเหตุที่นายวิชัยจะต้องโอนเงินจำนวนมากให้แก่จำเลย แต่จำเลยได้รับโอนเงินดังกล่าวซึ่งไม่มีหนี้ต้องชำระตามข้อตกลงและการรับโอนเงินโดยไม่มีมูลหนี้จำนวนสูง ย่อมเป็นการตอบแทนที่มิชอบด้วยกฎหมาย เป็นลักษณะเงินให้เปล่าเป็นค่าตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่งที่รู้เฉพาะนายวิชัย นายรัชฎา และจำเลย
...จำเลยยังเบิกความรับว่า จำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีที่รับโอนมาไปใช้จ่าย หากต้องการคืนเงิน 10 ล้านบาท แก่นายรัชฎา จำเลยมีเงินสำรองจำนวนอื่นจ่ายคืนได้ทันที จึงแสดงให้เห็นว่า เงิน 10 ล้านบาท ที่จำเลยได้รับมา จำเลยได้นำไประคนปนกันกับเงินของจำเลยที่อยู่ในบัญชีอื่น และนำมาใช้จ่ายส่วนตัว จึงไม่รู้ว่าเงินใดเป็นเงินปกติ เงินใดเป็นเงินผิดกฎหมาย
...จึงต้องวินิจฉัยพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยที่เบิกถอนเงินในลักษณะเป็นการใช้จ่ายส่วนตัว คราวละไม่มาก จึงไม่ใช่บัญชีธุรกิจที่จะใช้ในการลงทุนประกอบธุรกิจ ที่จำเลยเบิกความว่าสามารถนำเงินของจำเลยจำนวนอื่นมาคืนเมื่อใดก็ได้ก็เป็นความผิดวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจ และการประกอบธุรกิจปกติ พฤติการณ์จึงเป็นการรับโอน เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เพื่อปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มาแหล่งที่ตั้ง การโอนซึ่งทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำผิด จำเลยจึงรู้หรือควรรู้ว่าเงิน 10 ล้านบาท ที่ได้รับมาจากนายวิชัยเป็นเงินส่วนหนึ่งของสินเชื่อธนาคารกรุงไทยที่อนุมัติให้เครือกฤษดามหานคร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5 (1) (2) พิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี...”
อย่างไรก็ตาม นี่คือความเห็นแย้งของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน แต่คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ออกมา คือ ยกฟ้อง
5. จะอุทธรณ์ หรือไม่อุทธรณ์อย่างไร ก็ลองตรองดูเถิด
ฟ้า-ดิน ย่อมรู้ วิญญูชนพึงทราบ
กรรมเวร ไม่ต้องรอชาติหน้า จะเห็นผลกันในชาตินี้แหละ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี