จากกรณีที่โลกออนไลน์แชร์ภาพป้ายของวัดแห่งหนึ่งในมหาสารคาม ระบุว่า ประกาศวัดนาควิชัย หยุดรับศพมาบำเพ็ญกุศลที่วัดนาควิชัยชั่วคราว ไม่รับศพมาประกอบพิธีฌาปนกิจศพ ไม่รับเผาศพที่ตายจากโรคโควิด-19 จนกว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ประกาศวันที่ 28 มี.ค.โดยคณะกรรมการชุมชนนาควิชัยนั้น
พระครูวิชัยบุญพิศิษฏ์ เจ้าอาวาสวัดนาควิชัยเปิดเผยว่า อาตมาเป็นคนทำป้ายขึ้นมาเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าตอนนี้โรคโควิด-19 กำลังระบาด ได้พูดคุยกับญาติโยมแล้วจึงทำป้ายไม่รับศพผู้ติดเชื้อมาทำการฌาปนกิจที่วัด อีกทั้งช่วงนี้เตาเผาไฟฟ้าชำรุด ต้องซ่อมแซมรอช่างมาซ่อมอยู่ มันยังใช้ได้แต่ไม่อยากให้เครื่องเสียไปมากกว่านี้ จึงงดใช้
ซึ่งที่ไม่รับศพติดเชื้อก็เนื่องจากพระก็กลัว ถามว่าหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงจะมีใครมารับผิดชอบ คนที่นำไปโพสต์ด่าวัด อยากรู้ว่าเขาคนนั้นจะออกมารับผิดชอบหรือเปล่า เกิดพระเณรเป็นอะไรไปชาวบ้านไม่กล้าเข้าวัดกลายเป็นวัดร้างไม่มีคนมาทำบุญจะทำยังไงก็ต้องกันไว้ก่อน เคยแจ้งไปทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่เห็นจะมาฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อให้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตายด้วยไวรัส แต่ก็ต้องกันไว้ก่อนเพราะช่วงนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้
ทั้งนี้หากเกิดมีคนในชุมชนเสียชีวิตวัดก็ยินดีที่จะประกอบพิธีทางศาสนาให้ แต่ขอตรวจสอบก่อนว่าเสียชีวิตจากโรคอะไรไม่ใช่ไม่รับเผาเลย ซึ่งก็ถือเป็นสิทธิ์ของวัดแต่หลักๆคือคนในชุมชนยังเผาศพได้ตามปกติ แต่ทางวัดขอแค่ไม่รับเผาศพที่ติดเชื้อโควิดเท่านั้น
ในเรื่องนี้ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ แห่งวัดสร้อยทอง พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร ได้แสดงความเห็นว่า อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ตัว มีคนส่งภาพนี้มาให้อาตมาดูเยอะมากเลยนะ แต่ก็ได้ทราบว่าทางวัดมีการเอาป้ายนี้ลงแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้หยิบเอากรณีนี้ขึ้นมาพูดเพื่อฝากแง่คิดและฝากคำขอร้องไปถึงวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ เสียทีเดียวกันเลย
ผมอยากจะเตือนอย่างกัลยาณมิตรว่า ตอนนี้ชาวบ้านเขากำลังเดือดร้อนกันมากนะ บางคนทำงานก็ไม่ได้ เงินที่พอมีเก็บไว้ก็ร่อยหรอ เรื่องพวกนี้ พระเณรอย่างเราๆ ที่เอาแต่สวดมนต์ภาวนาอยู่ในกำแพงวัดอาจจะไม่ค่อยทราบ อย่างน้อยแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก พระเณรอย่างพวกเรา ก็ยังมีคนหาข้าวหาปลาให้ฉัน แต่กลับชาวบ้านอีกหลายคนเขาไม่มี
ถ้ามองอย่างผู้มีปัญญา นี่ถือว่า เป็นช่วงเวลาทองที่เป็นโอกาสดีมากๆ นะ ที่พระสงฆ์องค์เณร ที่วัดและศาสนาจะได้แสดงความเอื้อเฟื้อและตอบแทนบุญคุณของชาวบ้าน อาตมาเห็นหลายวัดท่านทำสิ่งที่น่าอนุโมทนาชื่นชม ท่านตั้งโรงทานแจกข้าวให้กับชาวบ้าน นี่หลายวัดควรจะเอาเป็นตัวอย่าง ถึงเวลาที่วัดควรจะคืนอะไรให้กับชาวบ้านบ้างได้แล้ว
อย่าให้เขาปรามาสศาสนานักเลย อย่าให้เขามองว่า ศาสนาเป็นกาฝาก พระเณรเป็นพวกเห็นแก่ตัว เอาแต่ตัวรอด นี่ผมอยากจะฝากไปถึงวัดทั่วประเทศ อย่างคนที่ขอความเห็นใจ
ด้าน รศ.นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ที่ปรึกษากรมควบคุมโรค และกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีวัดประกาศไม่รับบำเพ็ญกุศลศพที่เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพราะเกรงว่าชาวบ้านจะไม่ไปทำบุญที่วัด ว่า เรื่องนี้ ต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัด เพราะขณะนี้มีการพบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น
โดยขอชี้แจงว่าศพไม่มีทางแพร่เชื้อแน่นอน เพราะมีการฆ่าเชื้อก่อนบรรจุในถุงซิปและมีการฆ่าเชื้อ ถึง 3 ชั้น จะไม่มีการเปิดถุงซิป อีกทั้งความร้อนในการเผาศพ มากกว่า 800-900 องศาเซลเซียส ใช้เวลาเผา 4 ชั่วโมง เชื้อโรคได้ตายไปหมดแล้ว ซึ่งตอนนี้มีบางวัดที่ยังไม่เข้าใจและปฏิเสธการทำพิธีศพ แต่ก็มีวัดจำนวนมากที่มีความเข้าใจดี เรื่องนี้ต้องเร่งทำความเข้าใจต่อไป
ส่วนกรณีทางวัดเรียกร้องหากรับศพต้องมีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดให้ นั้น อยากให้เข้าใจว่า การฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เหมาะสำหรับพื้นที่สาธารณะ หรือสถานที่ที่มีคนใช้งานร่วมกันจำนวนมาก เช่น ที่เท้าแขน ราวจับ ห่วงจับบนรถไฟฟ้า รถโดยสารสาธารณะ เป็นต้น เพราะฉะนั้นการฉีดตามพื้นที่ถนนไม่มีประโยชน์ เพราะแดดส่องถึง ความร้อนสูง เชื้อโรคอยู่ได้ไม่นาน จึงแทบไม่จำเป็น แต่หากเป็นที่ร่ม บางพื้นที่ที่พื้นที่สาธารณะ อากาศเย็น เชื้อโรคอาจอยู่ได้นานเป็นชมควรมีการฆ่าเชื้อทำความสะอาด
รศ.นพ.ทวีกล่าวว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่า เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไม่มีการแพร่กระจายทางอากาศได้อย่างชนิดรุนแรง การแพร่กระจายในอากาศ มักอยู่ในห้องที่คนไข้อยู่ ปัจจัยการคงอยู่ของเชื้อ ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความชื้น พื้นผิว เป็นต้น
ส่วน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีความกังวลใจของประชาชนเกี่ยวกับการจัดงานศพผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ที่อาจมีการแพร่เชื้อ จนมีการต่อต้านการจัดงานศพ ว่าขอให้ความมั่นใจว่า ศพไม่สามารถไอจามได้ เพราะการติดต่อของโรคนี้ คือ การสัมผัสสารคัดหลั่ง การไอจาม จากการพูดคุย อย่างไรก็ตาม ผู้เสียชีวิตบางรายก็ไม่ได้มีเชื้อแล้ว เช่น คนที่เป็นวัณโรคร่วม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทำไมถึงต้องกังวลโรคนี้ เพราะที่ผ่านมาก็เคยมีการไปร่วมงานศพผู้เสียชีวิตจากวัณโรคมาก็จำนวนมาก ซึ่งวัณโรคเป็นการแพร่เชื้อทางอากาศด้วยซ้ำ ทำไมเราถึงไม่กังวล แต่มากังวลตรงนี้ อย่างไรก็ตาม ศพต้องมีการดูแลอย่างเหมาะสมทุกราย ญาติพี่น้องที่จะทำบำเพ็ญกุศลไม่ต้องกังวลสามารถทำได้ตามปกติ ส่วนคนที่จะไปร่วมงานศพก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปกังวลอะไรมากกับตัวศพว่าจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อ เราต่างหากที่เราเข้าไปชุมนุมในงานศพต่างหาก ดังนั้น ในงานศพก็ต้องมีมาตรการรักษาระยะห่าง เพราะเชื้อโรคอยู่ในคนปกติอย่างเราๆ มากกว่า
“การติดต่อของเชื้อเกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากการไอจามหรือพูดคุย เพราะฉะนั้นผู้เสียชีวิตไม่สามารถทำให้เกิดตรงนี้ได้ มีแต่ผู้เข้าไปสัมผัสเท่านั้น แพทย์ พยาบาล คนปลงศพ ซึ่งจะมีระบบของการทำงานด้านนี้ที่ถูกควบคุมมาตรฐานอยู่แล้วตั้งแต่ใน รพ. ไม่ต้องกังวลใจถึงในงานศพ” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร กล่าวถึงเรื่องเดียวกันนี้ว่า สำหรับการจัดการศพ เรามีการซักซ้อมตามมาตรฐาน โดยผู้ที่จะเข้าดูแลร่างผู้เสียชีวิตจะใส่ชุดป้องกันตัวอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าร่างจะมีเชื้อแล้วหรือไม่ก็ตาม ซึ่งบางรายก็รักษาจนไม่มีเชื้อแล้ว แต่ก็ต้องสวมใส่เพื่อความมั่นใจในการทำงาน โดยจะมีนำสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% นำมาอุดตามช่องอวัยวะต่างๆ จากนั้นจะพ่นสเปรย์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อทุกด้านของร่างกาย แล้วจึงนำร่างบรรจุถุงซิปล็อกจำนวน 3 ชั้น
โดยหลังบรรจุชั้นที่ 1 มีการสเปรย์ฆ่าเชื้อ แล้วนำบรรจุลงในถุงชั้นที่ 2 ฉีดพ่นฆ่าเชื้อแล้ว บรรจุลงถุงชั้นที่ 3แล้วสเปรย์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้ออีกรอบ เพื่อสร้างมั่นใจผู้ดูแลผู้เสียชีวิตว่า ถุงซิปชั้นนอกสุดจะไม่มีเชื้อโรคเลย โดยถุงซิปบรรจุร่างก็เป็นถุงสำหรับใส่ร่างศพจากโรคติดต่ออันตราย โอกาสหลุดรอดหรือรั่วก็เป็นไปได้ยาก
หลังจากบรรจุศพแล้ว จะไม่มีการเปิดถุงอีก ดังนั้นก่อนที่จะมีการดำเนินการดังกล่าว ญาติผู้เสียชีวิตก็จะต้องใส่ชุดป้องกันเพื่อมายืนยันร่างผู้เสียชีวิตก่อน ทั้งนี้เมื่อเคลื่อนย้ายศพมาถึงวัดก็สามารถดำเนินการตามพิธีทางศาสนาได้ตามปกติ
รวมถึงการฌาปนกิจศพก็จะดำเนินการโดยการเผาถุงซิปทั้งหมดไปด้วยเลย ซึ่งเชื้อนี้ก็ตายได้ในอุณหภูมิที่มีความร้อน 60-70 องศาเซลเซียส เชื้อก็ตายแล้ว แต่การฌาปนกิจศพใช้ความร้อนมากกว่า 800-1,000 องศาเซลเซียส เชื้อก็ไม่รอดที่จะออกมาสู่สาธารณะ ขอให้มั่นใจในกระบวนการดำเนินการ
ขณะที่ พญ.ภัทรา อังสุวรรณ ผอ.สถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ กล่าวว่า ขั้นตอนการจัดการกับศพผู้เสียชีวิตโควิด-19 ทุกราย ทุกรพ.จะทำเป็นมาตรฐาน คือ เมื่อเสียชีวิต ร่างผู้เสียชีวิตจะถูกนำมาบรรจุลงในถุงซิป
2 ชั้น เพื่อป้องกันสารคัดคลั่งหลุดรอดออกมา พร้อมกับมีการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อพ่นลงไป โดยศพจะไม่ได้ถูกฉีดน้ำยา แต่จะถูกนำไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส และมีข้อปฏิบัติเคร่งครัด คือ ไม่มีการอาบน้ำ และไม่มีอนุญาตให้ญาติสัมผัสจับต้องศพ โดยใช้มือเปิดถุงซิปออก เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
นพ.ทรงวุฒิ วิญญูวรรธน์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ สถาบันพยาธิวิทยา กล่าวว่า การแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 นี้ เกิดจากสารคัดหลั่ง ละอองฝอย ไอ จาม แต่ศพไม่ไอ การแพร่เชื้อไม่มี อีกทั้งถูกบรรจุอยู่ในถุงซิปถึง 2 ชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สารคัดหลั่งหลุดรอดออกมา ยิ่งเก็บศพไว้นานเชื้อยิ่งน้อยลง เพราะธรรมชาติของเชื้อโรคที่อยู่ในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย เมื่อเสียชีวิตลง เซลล์ต่างๆเนื้อเยื่อต่างๆ ก็ตายลง ทำให้เชื้อโรคก็อยู่ไม่ได้ต้องตายลง ลดปริมาณลงเช่นกัน
การเผาศพที่วัดใช้ความร้อนสูงมาก เนื้อเยื้อผิวหนังมอดไหม้ กระดูกยังสลาย เชื้อโรคย่อมต้องหมดไปอยู่แล้ว และเชื้อโรคก็ไม่แพร่ทางควัน เพราะหมดไปแล้ว ดังนั้น คนไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพสามารถทำได้โดยปกติ เพียงแค่มีระยะห่าง พระและคนร่วมงานศพไม่ต้องกังวล
เมื่อประมวลข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันนั้น จะพบว่า“ความไม่รู้” นำมาซึ่ง “ความกลัว” และความ “ไร้มนุษยธรรม”
ทางแก้คือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมการศาสนา และมหาเถรสมาคม ควรเป็นผู้ประสาน นำความรู้ไปสู่วัดและผู้เกี่ยวข้องทั่วประเทศโดยเร็ว ก่อนจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำรอยอีก!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี