หลายๆ ประเทศในการต่อสู้กับโรคระบาดโคโรนาไวรัส หรือโควิด-19 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายฉุกเฉิน หรือการเพิ่มอำนาจพิเศษให้กับฝ่ายบริหาร ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ เพื่ออำนวยให้การตัดสินใจฝ่ายรัฐบาลในมาตรการต่างๆ และในการสั่งการต่อฝ่ายข้าราชการผู้ปฏิบัติ และต่อการปฏิบัติตนของประชาชนพลเมืองเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เฉียบขาด
แต่สังเกตดูแล้วได้ความว่า ยังไม่มีประเทศ หรือรัฐบาลใดได้มีการชี้แจงแถลงไขว่า ได้มีการทบทวนว่า กฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่แล้วนั้นเพียงพอต่อการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19หรือไม่ แต่ต่างได้รวบรัดเอาความด้วยวิธีการง่ายๆ คือ การออกกฎหมายพิเศษ หรือการประกาศใช้กฎหมายฉุกเฉินแบบครอบจักรวาล คือการให้อำนาจกับฝ่ายบริหารอย่างไร้ขอบเขต และไม่ต้องถูกตรวจสอบ ส่งผลให้การปฏิบัติของฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็อยู่เหนือกฎหมายไปด้วย
ในการนี้ ก็มีหลายประเทศประชาธิปไตยเต็มใบ ที่รัฐบาลเขาออกมาแสดงความห่วงกังวลต่อการใช้อำนาจเกินขอบเขต และละเมิดสิทธิเสรีภาพ หรือบ่อนทำลายสิทธิมนุษยชน หรือเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีและคุณค่าของการเป็นมนุษย์ หรือนัยหนึ่งเป็นการกระทบกระทั่งสังคมประชาธิปไตย และเป็นการเพิ่มความเข้มข้นให้กับลัทธิเผด็จการนิยม
องค์การสหประชาชาติซึ่งเป็นองค์การกลางของประชาคมโลกก็ได้ออกมาแสดงความห่วงกังวลในเรื่องนี้ และความเกรงกลัวว่า รัฐบาลบางประเทศเมื่อได้อำนาจพิเศษไปแล้ว แม้โรคโควิด-19 หมดไป ก็อาจจะยังติดกับอำนาจเผด็จการอยู่ และไม่คืนความถูกต้องชอบธรรมให้กับประชาชนพลเมือง
นอกจากนั้น บรรดาองค์กรภาคประชาสังคมทั่วโลกกว่า 400 องค์กร ก็ได้ร่วมกันออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลต่างๆ ที่มีอำนาจพิเศษอยู่ในมือนั้น กรุณาใช้อำนาจด้วยความระมัดระวัง และคืนอำนาจ หรือคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชนพลเมืองในเวลาอันควร
อีกทั้งมีความกังวลกันว่า ประชาชนพลเมืองที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของภาครัฐด้วยเจตนาดี และบริสุทธิ์ใจ ก็อาจถูกจับกุมและลงโทษ โดยไม่มีการชี้แจงและตักเตือน อาจถูกเหมารวมไปอยู่กับพวกมุ่งร้าย พวกโรคจิตที่มุ่งบ่อนทำลาย บิดเบือน สนุกสนานกับความหายนะของเพื่อนมนุษย์ ซึ่งอำนาจพิเศษควรมุ่งจัดการกับผู้คนกลุ่มร้ายนี้เป็นสำคัญ ไม่ใช่อ่อนไหวไปทุกเรื่องโดยไม่แยกแยะ ขาดความระมัดระวังรอบคอบ ขาดความเมตตาปรานีและอุเบกขา
เพื่อมิให้มีความเข้าใจผิด หรือหลงระเริงไปกับข่าวกุ ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐที่จะต้องให้ข้อมูลต่อประชาชนพลเมืองอย่างสม่ำเสมอ ชัดเจนทั้งข้อเท็จจริง สถิติตัวเลข ผลงานทางวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญภาครัฐต้องมีภาพรวมของการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 ที่ชัดเจน ครอบคลุม โดยเฉพาะความพร้อมมูลทางด้านการแพทย์ การสาธารณสุข ทั้งยา เครื่องตรวจสอบ เครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์การแพทย์ รวมทั้งเครื่องแต่งตัวป้องกันเชื้อโรค เป็นต้น
และในขณะเดียวกัน สถิติตัวเลขเกี่ยวกับประชาชนพลเมืองก็ต้องแน่ชัดว่า ใครเป็นใคร มีมากน้อยแค่ไหน เพื่อเงินช่วยเหลือ และมาตรการผ่อนภาระต่างๆ จะได้ถึงมืออย่างทั่วถึงทันกาล และไม่มีช่องทางให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือเมื่อมีเหตุอันไม่ควร กฎหมายต้องมิให้มีการเลือกปฏิบัติ ที่เห็นๆ คือ พ่อค้าแม่ขายรายย่อยขายของเกินราคา ด้วยความไม่รู้ หรือเจตนาโลก ก็รับโทษเกินเหตุ ซึ่งแค่ตักเตือนก็เพียงพอ ขณะที่กลุ่มคนอิทธิพลกลุ่มหนึ่งที่เป็น “ผู้ร้าย” ก็ดูได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษแบบสมยอมกัน ก็เป็นเรื่องคาใจ ปวดใจ ซึ่งเป็นการต้องระวังตัว หรือรักษาตัวเพิ่มไปจากโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ขึ้นไปอีก
ภาวะผู้นำนั้น จะดูกันได้ชัดๆ ในยามวิกฤติ ใครทำงานแบบผักชีโรยหน้า เอาหน้า ขาดความจริงจัง ประชาชนก็จะเห็นกันได้ง่าย
ดังนั้น เมื่อมีอำนาจพิเศษในมือแล้ว ก็จะต้องทำงานกันอย่างสุดความสามารถ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนไทยเป็นหลัก จึงจะได้รับคำชม แซ่ซ้องสรรเสริญจากสังคมไทย ว่าเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้กล้าที่มากอบกู้สังคมไทย อย่างที่คาดหวังไว้ยามอาสามารับใช้ชาวไทย หากเป็นอื่นก็เป็นบาป และก็รับแต่คำสาปแช่งไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี