เส้นทางสู่การเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) ของราชอาณาจักรไทยตั้งแต่สิ้นสุดการเมืองการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในระยะ 91-92 ปีที่ผ่านมานั้นคลอนแคลน ไม่ค่อยมีเสถียรภาพ และความมั่นคงแน่นอน มีลักษณะถอยเข้าถอยออก ก้าวไปข้างหน้าบ้าง แล้วก็ถอยหลังกลับมาบ้าง กฎหมายรัฐธรรมนูญหลายๆ ฉบับ ก็ขีดเขียนกันมาที่มักจะไม่ได้ตอบสนองความมุ่งมั่นที่จะให้สังคมไทยเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ โดยมักจะมีข้อสะดุดที่เหนี่ยวรั้งการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยไว้ มากบ้างน้อยบ้าง โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ล่าสุดนั้น ก็สะท้อนความไม่ลงตัวของการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย
ฉะนั้น เราจึงต้องมีการแก้ไขอย่างจริงจังลึกซึ้ง หรือไม่ก็จะต้องมีการยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งหมด เพื่อวางโครงสร้างและสาระเนื้อหาของการเป็นสังคมประชาธิปไตยที่มีความเป็นสากล ตอบสนองความต้องการของปวงชนชาวไทยที่ประสงค์ให้สังคมไทยเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยในระดับเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่เป็นราชอาณาจักรเสรีประชาธิปไตย และมิใช่สังคมเสรีประชาธิปไตยที่ไม่เสรี หรือเสรี
อยู่บ้าง
การที่เราจะสามารถมุ่งหน้าไปสู่สังคมเสรีประชาธิปไตยนั้น ตัวจักรกลสำคัญยิ่งก็คือบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ และมิใช่กลุ่มอำนาจรัฐอื่นๆ หรือกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ เพราะสถาบันพรรคการเมืองถือเป็นหัวใจของสังคมเสรีประชาธิปไตย เป็นตัวเชื่อมระหว่างการใช้อำนาจรัฐกับการตอบสนองผลประโยชน์ของบ้านเมืองและปวงชนชาวไทย
แต่ที่ผ่านมา สาเหตุที่การเมืองไทยยุ่งเหยิง ขาดความแน่นอน ก็เพราะความล้มเหลวของการเมืองที่มิได้ทำตนให้เป็นพรรคการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และเป็นต้นตอของความขัดแย้งในสังคมและความไม่ก้าวหน้าของประเทศอย่างมาก ซึ่งจะไปโทษฝ่ายกองทัพว่าเป็นผู้เข้ามาแทรกแซงหรือเป็นต้นเหตุของความล้มเหลวของสังคมเสรีประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยอย่างเดียว ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะการปฏิวัติรัฐประหารส่วนมากเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นผลพลอยได้จากความล้มเหลวของบรรดาพรรคการเมืองเป็นสำคัญ แม้ว่าภายในกองทัพอาจจะมีแม่ทัพนายกองที่มีความทะเยอทะยานในเรื่องการเมืองอยู่บ้างเป็นครั้งคราว และก็มักจะไปไม่รอดเพราะปวงชนชาวไทยอยากมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสังคมเสรีประชาธิปไตย และต้องการให้พรรคการเมืองต่างๆ เป็นเครื่องมือและกลไกของการเสริมสร้างสังคมเสรีประชาธิปไตยที่แท้จริงและมีความมุ่งมั่น ฉะนั้นพรรคการเมืองต่างๆ ต้องมีความเข้มแข็งและมีความแท้จริงในเรื่องอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย
แต่เมื่อมาส่องมองพรรคการเมืองต่างๆ ของไทยแล้ว การพบการคาดหวังของปวงชนชาวไทยและอนาคตของการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทย ก็ยังดูจะหมิ่นเหม่อยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่พรรคการเมืองต่างๆ ในปัจจุบันนี้มีความบกพร่องอยู่เป็นอย่างมาก เช่น
- พรรคเพื่อไทย มีปัญหาว่าอยู่ในอาณัติของครอบครัวการเมืองหนึ่งครอบครัว และมีลัทธิบูชาองค์บุคคล (Personality Cult) และวางตัว และปฏิบัติการโดยอำนาจนิยม และเชิงประชานิยม ที่เอาประโยชน์เข้าตัวแค่ในระยะสั้นๆ ขาดจิตสำนึกที่จะทำหน้าที่เสริมสร้างสังคมเสรีประชาธิปไตย และรับใช้ผลประโยชน์ของส่วนรวม
- พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา ก็มีลักษณะไม่ต่างไปจากพรรคเพื่อไทยที่ว่า มีลักษณะของการเป็นพรรคการเมืองที่ครอบครัวการเมืองเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว
- พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ก็มีอดีตแม่ทัพนายกองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือมีตัวบุคคลเป็นตัวตั้งตัวตี
- พรรคประชาธิปัตย์ ก็หลงทางไปในทิศทางของกลุ่มอิทธิพลทางการเมืองท้องถิ่น ลืมคำว่า “ประชาธิปัตย์” และอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยแต่ดั้งเดิม
- พรรคเล็กพรรคน้อยอื่นๆ ต่างๆ ก็อยู่ในอาณัติของกลุ่มคน หรือกลุ่มผู้คร่ำหวอดทางการเมืองเป็นสำคัญ ขาดอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
การที่จะปฏิรูป หรือเปลี่ยนรูปโฉมของบรรดาพรรคการเมืองดังกล่าว ให้กลับมายึดมั่นในอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยอย่างมีสาระเนื้อหานั้น ก็คงจะต้องขึ้นอยู่กับบรรดาแกนนำพรรคเป็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกคือกฎหมายพรรคการเมืองเป็นสำคัญ อีกทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งและศาลรัฐธรรมนูญ (ซึ่งมีนัยของการเป็นศาลยุติธรรมด้านการเมือง) ก็ต้องมีบทบาทในเชิงสร้างสรรค์ และในเชิงรุกที่จะตรวจสอบ ตรวจตรา ให้พรรคการเมืองที่จะกระโดดเข้าเวทีเสรีประชาธิปไตยนั้นเป็นพรรคการเมืองเสรีประชาธิปไตยที่มีสาระเนื้อหาและมิใช่แบบผิวเผิน แอบอ้าง และเสแสร้ง
ในการนี้ ในกฎเกณฑ์ข้อบังคับของแต่ละพรรคการเมืองก็ต้องมีการระบุเรื่องอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยให้เป็นที่แน่ชัด และจะต้องมีจุดยืนและนโยบายที่จะเสนอต่อสาธารณชนไปในทิศทางของเสรีประชาธิปไตยเท่านั้น และเมื่อนั้นการเริ่มต้นใหม่ของการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยก็จะดูว่ามีความแท้จริงและมีอนาคต และเมื่อราชอาณาจักร เช่น ภูฏาน และมาเลเซีย ในละแวกภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเขาทำได้ ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่ราชอาณาจักรไทยทำไม่ได้ หรือนัยหนึ่งก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่พรรคการเมืองของไทยจะไม่ทำตัวให้เป็นองค์กรเสรีประชาธิปไตย และร่วมกันขับเคลื่อนการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยอย่างจริงจัง แข็งขัน และมุ่งมั่น
คู่ขนานกันไปกับการปฏิรูปเปลี่ยนรูปโฉมของพรรคการเมืองต่างๆ นั้น การพัฒนาบุคลากรทางด้านการเมืองก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อาทิ การเปิดโอกาสให้ชาวไทยทุกคนที่ประสงค์จะเข้าสู่สนามการเมือง และผู้สมัครเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองนั้น เปิดตัวและเข้ารับการฝึกอบรมที่เรียกว่า การศึกษาด้านการเมืองและการเป็นพลเมือง (Civic and Political Education) เพื่อเตรียมความพร้อมในการอาสาเข้ามารับใช้บ้านเมืองในสังคมเสรีประชาธิปไตย
ในขณะเดียวกัน เรื่องพลเมืองการเมืองศึกษานี้ก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมไปจนถึงระดับอุดมศึกษา และเป็นส่วนหนึ่งของการให้ความรู้ความเข้าใจต่อสาธารณชนเป็นการทั่วไปในความเป็นพลเมืองสังคมเสรีประชาธิปไตย และการเข้าร่วมในวิถีชีวิตการเมือง (Political Participation) ในระดับต่างๆ ในองค์กรต่างๆ และในเวทีต่างๆ
สังคมไทยเวียนว่ายตายเกิดมากับเรื่องสังคมเสรีประชาธิปไตยก็ใกล้จะเกือบร้อยปีแล้ว บัดนี้น่าจะถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะหลุดพ้นจากสภาวะของการเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยแบบลุ่มๆ ดอนๆ แบบครึ่งๆ กลางๆ เสียที ซึ่งปวงชนชาวไทยเราทำได้ และบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายต้องกระทำ เป็นภาระหน้าที่ มิใช่แค่การใช้สิทธิ์ที่จะใช้เข้าสู่อำนาจรัฐ หรืออำนาจทางการเมือง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี