ชาวไทยชาวโลกส่วนใหญ่ มักจะคุ้นเคยกับกลุ่มอำนาจต่างๆ เช่น กลุ่มพรรคการเมือง กลุ่มคณะรัฐมนตรีหรือคณะรัฐบาล กลุ่มตัวแทนในรัฐสภา กลุ่มข้าราชการประจำทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน กลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มแรงงานและวิชาชีพ และกลุ่มสื่อสารมวลชน เป็นต้น ซึ่งการดำเนินงาน ดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทางปฏิบัติ เราก็มักจะเห็นเป็นไปในระดับคณะรัฐบาลต่อคณะรัฐบาล ซึ่งมักจะสังกัดพรรคการเมืองหนึ่งใด หรือสังกัดกลุ่มอำนาจผลประโยชน์หนึ่งใด โดยองค์กรดังกล่าวเป็นฐานเสียง และเป็นกรอบของการดำเนินการต่างๆ ซึ่งมักจะเป็นแบบฉบับของสังคมประเทศที่มีการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ส่วนจะมากน้อยเพียงใดก็เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์กติกา โครงสร้าง และสาระเนื้อหา
แต่ในกรณีของสังคมประเทศที่มีการเมืองการปกครองแบบรัฐเดียวเป็นเผด็จการอำนาจสูงสุด เช่นที่ จีน เกาหลีเหนือ และคิวบานั้น ไม่มีองค์กรใดๆ ที่เป็นอิสระ
จากพรรคคอมมิวนิสต์ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองและผู้นำหนึ่งเดียวหรือกลุ่มผู้นำเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ในกรณีของจีน กองทัพจีนก็ขึ้นกับพรรค คณะรัฐมนตรี หรือแม้แต่คณะรัฐบาลก็ยังขึ้นกับพรรค พรรคจะมีตัวแทนอยู่ในทุกองค์กรของประเทศจีนแม้กระทั่งบริษัทเอกชน ฉะนั้นในการที่สังคมไทยเราจะต้องข้องแวะกับประเทศจีนผ่านทางสถานทูตจีนที่กรุงเทพฯ ผ่านทางสถาบันขงจื้อ ผ่านทางสมาคมมิตรภาพไทย-จีนต่างๆ และผ่านทางมูลนิธิทางด้านวัฒนธรรมและสังคมสงเคราะห์ ผ่านทางรัฐวิสาหกิจ และผ่านทางบริษัทของจีนนั้น เราก็ต้องคำนึงไว้ว่า องค์กรเหล่านี้แค่เป็นฉาก หรือเป็นองค์กรด่านหน้าของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น หรือนัยหนึ่งทุกองค์กรของจีนรับคำสั่งและขึ้นอยู่ในอาณัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั่นแหละ
และในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผู้นำและพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการขยายอิทธิพลเพื่อเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยมุ่งที่จะขจัดอิทธิพลของฝ่ายตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ให้หมดไปจากภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ที่ครอบคลุมทะเลจีนตอนเหนือ ทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้ อีกทั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็มีเป้าหมายที่จะเป็นที่หนึ่งของโลก หรือนัยหนึ่งคือต้องการชิงตำแหน่งผู้นำโลกจากสหรัฐอเมริกา ผู้เป็นเจ้าโลกอยู่มานานปีแล้ว
ในการนี้จีนก็ดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกโดยทั่วไปอย่างเงียบๆ อาจจะมีอาการโจ่งแจ้งบ้างก็เช่นในเรื่อง การเคลื่อนไหวกองกำลังทหารที่เทือกเขาหิมาลัยในกรณีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับอินเดีย การเคลื่อนกองกำลังทางอากาศและทางเรือคุกคามจีนไต้หวัน การเคลื่อนกำลังทางทะเลทั้งในรูปแบบเรือรบ เรือชายฝั่ง และเรือประมง ในการคุกคามฟิลิปปินส์และเวียดนาม การซ้อมรบทั้งโดยตนเองและร่วมกับรัสเซียในบริเวณทะเลรอบๆ เกาะต่างๆ ของญี่ปุ่น หรือไม่ก็การส่งเครื่องบินรบออกไปบินเฉียดไปเฉียดมากับเครื่องบินรบของฝ่ายสหรัฐฯ เป็นต้น
แต่โดยทั่วๆ ไปแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนมักจะเน้นการเสริมสร้างอิทธิพลแบบรุกเงียบ เช่น การผูกมิตรไมตรีกับผู้นำของประเทศต่างๆ ด้วยการซื้อตัว ซื้อจิตวิญญาณผ่านทางการมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ด้วยการให้ยืมเงินลงทุน และขายอาวุธยุทโธปกรณ์ในราคามิตรภาพ แต่ทั้งหมดก็ย่อมมีการเอื้อประโยชน์ใต้โต๊ะเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากประเทศใดฮึดฮัด ไม่คล้อยตาม พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็จะใช้วิธีการบีบทางอ้อม เช่นการควบคุมการเดินทางออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีน ไปยังประเทศต่างๆ ที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลักไปแล้ว ให้ต้องหันกลับมาประพฤติตนให้อยู่ในร่องในรอย ไม่ออกนโยบาย หรือมาตรการหนึ่งใดที่จะขัดต่อผลประโยชน์ของจีน อีกทั้งจีนยังมีพลังอำนาจของการเป็นตลาดนำเข้าใหญ่มาร่วมในการบีบ โดยการตั้งกำแพง หรือปฏิเสธที่จะซื้อสินค้าจากประเทศที่มีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรหรือสมประโยชน์กับจีน
นอกจากนั้นแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยังมีระบบควบคุมนักศึกษาจีนแผ่นดินใหญ่ที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศให้อยู่ในร่องในรอย ไม่เผลอไผลไปกับความยั่วยวนใจของสังคมเสรีประชาธิปไตย และวัฒนธรรมแบบตะวันตก ควบคู่กันไปพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังพยายามแทรกซึม และเสริมสร้างอิทธิพลเหนือชาวจีนโพ้นทะเลให้เห็นดีเห็นงามกับท่าทีและความสำเร็จต่างๆ ของจีน ในทำนองการแพร่ขยายชาติจีนนิยม
ในขณะเดียวกัน จีนก็ดำเนินการอย่างกว้างขวางในเรื่องการเสริมสร้างความคิดเห็นของชาวต่างประเทศให้มีความนิยมจีนและคล้อยตามไปกับอุดมการณ์ทาง
การเมือง ว่าด้วยพรรคเดียวเป็นใหญ่เท่านั้น และบ้านเมืองก็จะมีเสถียรภาพและความเจริญก้าวหน้า
เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังดำเนินการต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งก็รวมถึงกับประเทศไทยด้วย ประเด็นก็คือ แล้วฝ่ายการเมืองของไทย ฝ่ายหน่วยราชการด้านความมั่นคง และฝ่ายแวดวงวิชาการและสื่อ ได้มีความตระหนักในพฤติกรรมต่างๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือไม่? และรู้ตัวหรือไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวไทยหรือชาวโลกอื่นๆ ต้องข้องแวะกับทางฝ่ายจีนนั้น เป็นการข้องแวะกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นสำคัญ? ด้วยที่องค์กรอื่นๆ ต่างๆ ของจีนเป็นแค่ฉากและเป็นเครื่องมือกลไกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น
วันนี้อาคารพาณิชย์ตามแหล่งเศรษฐกิจสำคัญของไทยเริ่มตกอยู่ในมือของนักลงทุนชาวจีนไปแล้ว แถมยังมีการเข้ามาประกอบกิจการต่างๆ ผ่านทางนอมินี
คนไทย ซึ่งก็มีทั้งทุนขาว และทุนสีเทา โดยที่ผ่านมาฝ่ายไทยเราทั้งหลายอาจจะเผอเรอหลับใหลไปบ้าง จึงไม่ได้มีมาตรการที่จะรับมือ
แต่บัดนี้ยังไม่สาย ถึงเวลาแล้วที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบชาวไทย จะได้ตื่นจากภวังค์ขึ้นมาศึกษาค้นคิด ตั้งหลัก และตั้งท่า กันเสียที เพื่อจะได้แสดงตนว่ามีศักดิ์ศรี และมีปัญญา ในฐานะประเทศที่มีเอกราช ไม่มัวแต่ปล่อยให้เขารุกเอาแต่ฝ่ายเดียวต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี