เมื่อปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) ได้เกิดเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ครึกโครมที่สุดของการเมืองระหว่างประเทศ เมื่อนายริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เดินทางไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ในขณะที่ทั้ง 2 ประเทศกำลังเป็นศัตรูทางอุดมการณ์ต่อกันและกันตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง และพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำพาของ เหมา เจ๋อตุง ได้กุมชัยชนะสงครามกลางเมือง (เมื่อปี ค.ศ. 1919) ยึดครองผืนแผ่นดินใหญ่ของจีนทั้งหมด โดยตีกองทัพก๊กมินตั๋ง ชาตินิยมจีนที่ฝ่ายสหรัฐฯ สนับสนุนอยู่ ตกทะเลไปและไปตั้งมั่นอยู่ที่เกาะไต้หวันจนกระทั่งทุกวันนี้
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองดังกล่าว โลกก็ก้าวเข้าสู่ยุคสงครามเย็น โดยมีฝ่ายโลกเสรีที่นำโดยสหรัฐฯ และฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์หลังม่านเหล็กที่นำโดยสหภาพโซเวียต โดยมีจีนคอมมิวนิสต์เป็นแนวร่วมและพันธมิตรอันสำคัญ
ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน และคณะรัฐบาลสหรัฐฯ มีเป้าประสงค์ที่จะลดพลังอำนาจและอิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยการพยายามแยกจีนคอมมิวนิสต์ออกจากอ้อมอกของสหภาพโซเวียตให้ได้ ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ ก็ประสบความสำเร็จ แต่ก็มิใช่ด้วยฝีไม้ลายมือของตัวเองเสียทั้งหมด หากแต่เพราะฝ่ายผู้นำจีนคอมมิวนิสต์เอง ก็ไม่ได้ต้องการที่จะมีบทบาทเป็นลูกสมุนของสหภาพโซเวียตไปตลอด
ทั้งนี้ ฝ่ายสหรัฐฯ ก็ได้มีข้อจูงใจเสนอให้กับฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ เช่น การเปิดตลาดสินค้า และโอกาสทำมาค้าขายต่างๆ ด้วยกัน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1978 จีนก็ประกาศเปิดประเทศ เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ แล้วอีกประมาณ 2-3 ปีต่อมา จีนก็ได้รับความเห็นชอบ และการสนับสนุนจากฝ่ายสหรัฐฯ ให้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติแทนจีนเกาะไต้หวัน โดยเฉพาะยังได้เข้าไปมีที่นั่งในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติแบบถาวร เสมือนกับเป็นการได้รับรางวัลตอบแทนจากสหรัฐอเมริกา สำหรับการที่จีนยอมเปิดประเทศ และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโลกยุคโลกาภิวัตน์
และต่อมาอีกประมาณ 10 กว่าปี จีนก็ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization) โดยฝ่ายสหรัฐฯ เป็นผู้เปิดทางให้ ซึ่งมีนัยว่าจีนจะ “เล่น” ตามกติกาสากล ทั้งในเรื่องการค้าและการลงทุน และการแข่งขันที่เสรีและทัดเทียมกัน
ทั้งหมดที่สหรัฐฯ เอาอกเอาใจจีนคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายโรงงานอุตสาหกรรมจากสหรัฐฯ ไปตั้งบนแผ่นดินใหญ่ของจีน หรือนัยหนึ่งไปลงทุนเพื่อหากำไรเพิ่มเติมจากแรงงานราคาถูก และสิทธิพิเศษด้านการลงทุนต่างๆ อีกทั้งยังเปิดตลาดสหรัฐฯ ให้กับสินค้าที่ผลิตในจีน จากการลงทุนของบริษัทอเมริกันเข้าประเทศอย่างสะดวกโยธิน และคนอเมริกันได้บริโภคสินค้าราคาย่อมเยา ก็ด้วยความหวังที่ว่า เมื่อจีนสามารถพัฒนายิ่งขึ้นมีความมั่งคั่งยิ่งขึ้น และมีจำนวนชนชั้นกลางมากขึ้นแล้ว สังคมเสรีประชาธิปไตยก็จะตั้งรากฐานและเติบโตเบิกบานโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะเป็นการดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นประชาธิปไตยด้วยกัน แล้วก็จะเป็นการลดทอนกำลัง ไปจนถึงสามารถขจัดลัทธิคอมมิวนิสต์ หรือลัทธิเผด็จการใดๆ ออกไปจากจีน และในการนี้ ก็ยังจะมีผลพลอยได้ที่จะทำให้โลกคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต ลดคุณค่าและความหมายลง และไม่มีกำลังพอที่จะคุกคามโลกเสรีประชาธิปไตยได้อีกต่อไป
แต่ทว่าความคาดหวังของฝ่ายสหรัฐฯ มิได้เป็นไปตามนั้น เพราะปรากฏว่า สิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจนั้นมิได้นำไปสู่สิทธิเสรีภาพทางการเมืองในประเทศจีนแต่อย่างใด
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เห็นความล่มสลายของสหภาพโซเวียตในช่วงปี ค.ศ. 1989-1991 ว่าเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตลดอำนาจของตนเอง และยอมเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองอื่นๆ ขึ้นมาแข่งขันนั้น ทำให้สหภาพโซเวียตขาดพรรคการเมืองที่เป็นแกนกลาง
บริหารจัดการบ้านเมือง ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงยังคงยึดอำนาจบริหารไว้อย่างเหนียวแน่น พร้อมกับมีแนวคิดแนวปฏิบัติออกมาว่า พรรคเดียวนำพา โดยกำหนดให้มีการเปิดตลาดเศรษฐกิจการค้าและการแข่งขันกันได้ แต่จะต้องมีเพียงพรรคเดียวนำพา เพื่อประกันเสถียรภาพของบ้านเมือง และสามารถประคับประคองทิศทางของประเทศ ฉะนั้นแล้ว เมื่อประชาชนพลเมืองท้องอิ่มขึ้น ในบริบทของเศรษฐกิจการตลาดเสรีก็ควรจะมีความพึงพอใจแค่นั้น โดยมิต้องไปพยายามใฝ่หาสิทธิเสรีภาพทางการเมือง ซึ่งยังจะต้องเป็นเรื่องผูกขาดของพรรคคอมมิวนิสต์ต่อไปอย่างยาวนาน
ที่กล่าวมาทั้งหมดดังกล่าว ก็หมายความว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นมิได้เล่นไปตามโผหรือบทเพลงของฝ่ายสหรัฐฯ ทั้งหมดแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อประสบความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังเหิมเกริมประกาศให้โลกทั้งมวลได้รับทราบว่า ระบบพรรคเดียวนำพา ควบคู่กับการเปิดตลาดเสรีนั้น สามารถนำความเจริญ และมั่งมีศรีสุขให้กับประชาชนพลเมืองได้ ก็เท่ากับว่า พรรคจีนคอมมิวนิสต์ไม่ยอมเป็นลูกศิษย์ที่เชื่อฟังคุณครูสหรัฐฯ อีกต่อไป แถมยังคิดที่จะล้มล้างครูของตนอีกด้วย
นี่จึงเป็นสาเหตุของความบาดหมาง และการเป็นอริต่อกันและกัน ระหว่างจีนคอมมิวนิสต์กับสหรัฐอเมริกาเสรีนิยม ซึ่งพยายามวัดกันในเวทีโลกวันนี้ว่า ระบบของใครจะดีกว่ากัน โดยมีพรรคจีนคอมมิวนิสต์ที่มีความทะเยอทะยานที่จะให้จีนกลับไปเป็นเจ้าโลกดังแต่ในอดีต ซึ่งเมื่อจะเป็น
เจ้าโลกได้ ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องใช้ทุกศักยภาพที่มีในการโค่นล้มสหรัฐอเมริกา ที่เป็นแชมป์ปัจจุบันลงให้ได้
แต่ฝ่ายสหรัฐฯก็ไม่ยินยอม และการขับเคี่ยวก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้น ดังเป็นที่ประจักษ์ในสายตาชาวโลกดังทุกวันนี้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี