ประเทศไทยประสบความสำเร็จในเรื่องการคุมกำเนิด (Birth Control) อย่างสูง เป็นที่โดดเด่นในสังคมโลก ซึ่งในขณะเดียวกัน คนหนุ่มคนสาวของไทยก็เริ่มชีวิตครอบครัวกันช้าลง หรือแต่งงานกันเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยบางคนก็ตัดสินใจที่จะดำรงชีวิตแบบลำพัง จนสังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สภาวะผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากสาธารณสุขที่ดีขึ้นได้ทำให้สุขภาพดีกว่าแต่ก่อน อายุก็ยืนยาวขึ้น
ฉะนั้นในองค์รวมแล้ว ประชากรของไทยก็มีแนวโน้มที่จะคงที่ ไม่เพิ่มไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายใน 20-30 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงประมาณ 30 กว่าล้านคน (จาก 60 ล้านคนในปัจจุบัน) สังคมไทยก็จะมีปัญหาเรื่องการขาดแรงงาน แถมจำนวนผู้เสียภาษีก็จะลดน้อยลง ส่งผลให้รายได้ของประเทศก็จะลดลงไปตามสัดส่วน อีกทั้งก็จะมีปัญหาแบกภาระในการดูแลผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นด้วย
เราในวันนี้คงจะปล่อยสังคมไทยรับสภาพแบบนี้ไปไม่ได้ ก็จำเป็นที่จะต้องคิดหาหนทางที่จะแก้ไข หรือบรรเทาประเด็นปัญหา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกินสติปัญญาแต่อย่างใด แต่บรรดาผู้นำประเทศ และบรรดาผู้สนอกสนใจในเรื่องบ้านเมืองก็จะต้องมีความมุ่งมั่นที่จะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ และมีวิสัยทัศน์
ประเด็นก็คือ เมื่อขาดคน ก็ต้องหาทางเพิ่มหรือเติมคนให้ได้ ซึ่งในกรณีของประเทศสิงคโปร์ เขาก็จัดวางระบบเพื่อนำเข้าแรงงานต่างประเทศทั้งในระดับใช้แรงงาน ระดับแรงงานมีฝีมือ และระดับวิชาชีพ อย่างเป็นกิจจะลักษณะ ทำให้วันนี้ สิงคโปร์สามารถที่จะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานทุกระดับได้ และให้ทั้งองคาพยพของประเทศไปในทิศทางเดียวกันของการอ้าแขนรับแรงงานต่างด้าว หรือต่างประเทศ มิใช่ปากหนึ่งก็บอกว่าอยากต้อนรับ และอีกปากหนึ่งก็ป่าวประกาศว่าต้องคำนึงถึงความมั่นคงของประเทศ และกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมือง เช่น ในกรณีของหลายๆ ประเทศ (รวมทั้งประเทศไทย)
ฉะนั้นขั้นแรกก็คือ การเปลี่ยนแปลงระบบความคิด (Mindset) เสียก่อนว่า การนำเข้าแรงงานต่างด้าวทุกระดับเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศในระยะช่วงการปรับเปลี่ยนนี้ การแก้ไขปัญหาการขาดบุคลากรอาจจะดำเนินการได้ 2 แนวทางควบคู่กันไปคือ
1.แนวทางเฉพาะหน้า กับ
2.แนวทางระยะปานกลางและระยะยาว
ในระยะเฉพาะหน้าประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวอยู่พร้อมแล้ว คือแรงงานที่ “ผิดกฎหมาย” หรือ “แรงงานเถื่อน” ที่ยังมิได้มีการขึ้นทะเบียน กับแรงงานที่อยู่ในค่ายผู้อพยพ (พม่า) 9 ค่ายตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า จำนวนประมาณ 90,000 คน ซึ่งฝ่ายทางการของไทยก็อยู่ในวิสัยที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะของแรงงานผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีการตั้งกฎเกณฑ์กติกาหรือเงื่อนไขที่สลับซับซ้อนแต่อย่างใด และในขณะเดียวกัน ฝ่ายทางการของไทยก็สามารถประกาศให้ชาวพม่าในค่ายผู้อพยพ แปลงสภาพจากผู้อพยพลี้ภัย เป็นแรงงานต่างด้าวได้ในทันที โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยทำงานซึ่งมีอยู่ประมาณกึ่งหนึ่งของจำนวน 90,000 คนการจัดวางระบบ (Matching) หรือระบบฝ่ายนายจ้างกับฝ่ายผู้รับจ้าง
ทั้งนี้ก็จะต้องมีการเรียนรู้และฝึกอบรมในเรื่องภาษาไทย และการรับรู้กฎเกณฑ์กติกา หรือกฎหมายแรงงาน เพื่อให้ได้คำนึงถึงสิทธิและหน้าที่ ซึ่งการแก้ไขประเด็นปัญหาแรงงานผิดกฎหมายพม่า ก็สามารถที่จะดำเนินการกับแรงงานกัมพูชา และแรงงานลาว ได้ด้วย
อีกทั้งผู้อพยพลี้ภัยจากประเทศจีน จากชมพูทวีป จากตะวันออกกลาง และจากแอฟริกา ก็อยู่ในวิสัยที่จะมีการจัดเข้าระบบแรงงานต่างด้าว โดยคำนึงว่าในจำนวนผู้คนเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็มีการศึกษาและมีความชำนิชำนาญการที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยด้วย
ส่วนในเรื่องระยะปานกลางและระยะยาวนั้น ก็คงเป็นหน้าที่ของสังคมไทยร่วมกันที่จะเปลี่ยนนโยบายคุมกำเนิด ไปสู่นโยบายเพิ่มพลเมือง ด้วยการส่งเสริมให้คนหนุ่มคนสาวมีครอบครัว และฝ่ายรัฐเป็นหลักในการดูแลและบริการตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และแรกเกิด ไปจนถึงการศึกษา การสาธารณสุข โดยเฉพาะภาครัฐเป็นผู้บริการด้านนมและอาหารเสริม การรักษาพยาบาล และการศึกษาไปจนถึงระดับปริญญาตรี โดยที่ครอบครัวใหม่ๆ ไม่ต้องทนแบกภาระ แต่ก็ต้องไม่ใช่การรับเงินโดยตรง เพียงแต่จะได้รับการดูแลช่วยเหลือเป็นปัจจัยที่จำเป็นในชีวิต โดยภาครัฐจ่ายค่าเล่าเรียนและค่ารักษาพยาบาลให้กับสถาบันการศึกษาและสถานพยาบาลโดยตรง โดยไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีของครอบครัวแต่อย่างใด
ผู้เขียนก็ขอเสนอเป็นข้อคิดเบื้องต้น เพื่อการปรึกษาหารือ และหาข้อยุติร่วมกันต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี