วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ทรัมป์ได้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกาว่า....มีผู้ติดเชื้อเพียงแค่ 15 คน โดย 8 คน กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว, อีก 5 ยังอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ก็เกือบหายเป็นปกติแล้ว, 1 คน กำลังจะเตรียมตัวกลับบ้าน, และมีเพียงแค่คนเดียวที่ยังต้องเฝ้าดูอาการอยู่.....
และถ้ายังจำกันได้ในการแถลงข่าวครั้งนั้น ทรัมป์ได้อ้างรายงานของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins เรื่อง “The Countries Best and Worst Prepared for an Epidemic” โดยได้พูดไล่เลียง 10 ประเทศแรก ที่มีการเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดได้ดีที่สุด คือ สหรัฐ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา ไทย สวีเดน เดนมาร์ก เกาหลีใต้ และฟินแลนด์ ตามลำดับ
แต่ภายในเวลาสองเดือน ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐกลายมาเป็น 1,263,092 คน สูงที่สุดในโลกตาม
มาด้วย สเปน อิตาลี อังกฤษ และฝรั่งเศส (ตัวเลข ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2563 : www.worldmeters.info)
อย่างไรก็ตาม ภายในระยะเวลาสองเดือนนี้อีกเช่นกัน รัฐบาลทรัมป์ก็ปล่อยชุดมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลาง (SME) และลูกจ้างออกมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเริ่มตั้งแต่.....
1.Economic Impact Payment คือมาตรการแรกที่ออกมาในวันที่ 27 มีนาคม หนึ่งวันทันทีภายหลังจากสหรัฐขึ้นแท่นเป็นประเทศมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุดในโลกแซงหน้าจีนไปด้วยจำนวนตัวเลข 81,321 คน เมื่อวันที่ 26 มีนาคม มาตรการนี้คล้ายกับ มาตรการเยียวยา 5,000 บาท หรือ “เราไม่ทิ้งกัน” ของรัฐบาลประยุทธ์แต่เป็นการจ่ายให้ครั้งเดียวในเบื้องต้นก่อนเป็นจำนวนเงิน 1,200 ดอลลาร์ (ประมาณ 39,000 บาท ณ อัตราแลกเปลี่ยน 32.50 บาท) สำหรับคนโสดผู้มีรายได้ไม่เกิน 75,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือ 2,400 ดอลลาร์ สำหรับคู่สมรสที่มีรายได้รวมกันทั้งปีไม่เกิน 150,000 ดอลลาร์ และถ้ามีบุตรอายุต่ำกว่า 16 ปี ก็จะได้รับอีกคนละ 500 ดอลลาร์
เงินจำนวนนี้คนอเมริกันผู้เสียภาษีทุกคนที่มีชื่ออยู่ในระบบฐานข้อมูลของกรมสรรพากร สหรัฐหรือมีเลขประกันสังคม (Social Security Number) ที่มีคุณสมบัติดังที่กล่าวมาจะได้รับทุกคนโดยอัตโนมัติไม่ต้องเสียเวลาไปลงทะเบียนอะไรต่างๆ นานา ให้ปวดหัวเพราะกรมสรรพากรมีข้อมูลกลุ่มคนเหล่านี้อยู่แล้ว โดยจะดูประวัติการเสียภาษีย้อนหลังไปเพียงแค่ 2 ปีคือปี 2561 กับ 2562 และด้วยประสิทธิภาพความทันสมัยของระบบการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้เงินก้อนแรกนี้ถูกทยอยจ่ายเข้าบัญชีให้คนอเมริกันได้รับกันอย่างถ้วนหน้า ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน
เป็นต้นมา
2.Unemployment Claims มาตรการนี้ก็เหมือนกับ สิทธิประโยชน์จากประกันสังคม กรณีว่างงาน ของสำนักงานประกันสังคมบ้านเรา ต่างกันแค่ว่ากระทรวงแรงงานของประเทศไหนจะช่วยประชาชนของตัวเองได้มากน้อยต่างกันอย่างไรเท่านั้นเอง สำหรับที่สหรัฐนั้น ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมจนถึงต้นพฤษภาคมนี้มีคนอเมริกันใช้สิทธินี้ประมาณ 30 ล้านกว่าคนเข้าไปแล้ว
เงื่อนไขการขอรับสิทธิ Unemployment Claims นั้นจะต่างจากมาตรา Economic Impact Payment เพราะลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์โควิด-19 ไม่ว่าจะแบบชั่วคราวหรือถาวรจะต้องไปลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์กับรัฐบาล หลังจากนั้นกระทรวงแรงงาน สหรัฐก็จะส่งบัตรเดบิต (Debit Card) ไปให้เพื่อเอาไปใช้จ่ายในการดำรงชีพ โดยจะเติมเงินในบัตรเดบิตนี้ให้กับผู้ขอรับสิทธิ Unemployment Claims แต่ละคนๆ เป็นทีละสัปดาห์ๆ ไป ส่วนจำนวนเงินที่เติมลงไปก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนนั้นตั้งแต่เริ่มทำงานมาเขาส่งเงินเข้าระบบประกันสังคมไปมากน้อยเท่าไร ก็จะได้ไปตามสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน
นอกจากนี้ ผู้ขอรับสิทธิ Unemployment Claims จะต้องคอยเข้ามาอัพเดท (Update) ข้อมูลของตนเองกับกระทรวงแรงงานทุกวันอาทิตย์....ว่าได้งานใหม่หรือกลับเข้าไปเริ่มทำงานที่เดิมแล้วหรือยัง....หรือยังคงตกงาน ไม่มีรายได้อยู่ ซึ่งถ้าเป็นกรณีสุดท้ายกระทรวงแรงงานก็จะเติมเงินใส่บัตรเดบิตให้เขาเพิ่มไปใช้จ่ายอีกหนึ่งสัปดาห์ โดยในเบื้องต้นกระทรวงแรงงานมีระยะเวลาให้ผู้ขอรับสิทธิ Unemployment Claims ใช้สิทธินี้ได้ประมาณ 6 สัปดาห์ และกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะขยายระยะเวลาต่อออกไปอีกหรือไม่
3.Paycheck Protection Program หรือ PPP เป็นมาตรการที่ถูกปล่อยออกมาช่วงกลางเดือนเมษายน เพื่อช่วยเหลือนายจ้างและลูกจ้างในธุรกิจ SME โดยเฉพาะ ภายหลังจากที่ช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยเงิน 1,200 ดอลลาร์ ไปแล้วจากมาตรการแรก
PPP กล่าวอย่างสรุปก็คือ เป็นมาตรการที่รัฐบาลกลางสหรัฐต้องการที่จะช่วยเหลือให้นายจ้างธุรกิจ SME รักษาลูกจ้างเอาไว้ในช่วงที่ธุรกิจต้องปิดตัวลงชั่วคราวจากสถานการณ์โควิด-19 นี้ โดยปล่อยเงินกู้ในเบื้องต้นก่อนประมาณ 3.5 แสนล้านดอลลาร์ ผ่านธนาคารขนาดใหญ่ซึ่งก็จะส่งต่อผ่านไปยังธนาคารท้องถิ่นของแต่ละรัฐ แต่ละเมือง อีกทีหนึ่ง
หลังจากนั้นเจ้าของกิจการในเมืองขนาดกลางและเล็กก็จะไปทำเรื่องกู้เงินกับธนาคารท้องถิ่นในเมืองของตัวเองโดยมีเงื่อนไขว่า....
1.เจ้าของธุรกิจแต่ละแห่งจะสามารถกู้ได้วงเงินจำนวน ซึ่งคำนวณจาก “จำนวนเงินที่ใช้จ่ายเงินเดือนลูกจ้างในแต่ละเดือน คูณด้วย 12 แล้วหารด้วย 2.5”
2.เงินกู้ก้อนนี้ ธนาคารท้องถิ่นจะคิดดอกเบื้ย 1% โดย 6 เดือนแรกยังไม่ต้องจ่ายทั้งต้นและดอก แต่หลังจากนั้นให้ใช้คืนให้ครบภายในระยะเวลา 2 ปี
3.เงินกู้ก้อนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นายจ้างเอาไปใช้จ่ายเป็นเงินเดือนของลูกจ้าง เพื่อรักษาหรือเก็บลูกจ้างไว้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ธุรกิจอาจจะต้องปิดตัวลงชั่วคราวโดยรัฐบาลกลางจะยกหนี้ก้อนนี้ให้เลยหรือไม่เอาคืน ถ้านายจ้างใช้เงินอย่างน้อย 75 เปอร์เซ็นต์ ของเงินที่กู้ได้ทั้งหมดไปจ่ายเป็นเงินเดือนให้กับลูกจ้างของตัวเองในอัตราเท่าเดิมเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ โดยเงินที่เหลือนั้นนายจ้างผู้กู้ยังสามารถนำไปใช้จ่ายเป็นค่าเช่าร้าน เช่าตึก สำนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ เพื่อรักษาการดำเนินธุรกิจของตัวเองไว้ให้ได้ในช่วงเวลานี้ รวมไปถึงค่าจำนองบ้านได้อีกด้วย
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี