เปิดประชุมสภาเป็นวันแรก ในช่วงโควิด-19 เพื่อผ่าน 3 พ.ร.ก.และ 1 พ.ร.บ.สำคัญ หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจและปิดประชุมสภาไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมกับสถานการณ์ที่ดีขึ้นของการควบคุมโควิด-19 ที่ทำได้ดีกว่าที่คาด
เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้รัฐมีมาตรการผ่อนปรนการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งรวมไปถึงฝ่ายการเมืองบางส่วนเสนอการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อให้การประกอบอาชีพสามารถกลับมาทำได้อย่างปกติ ซึ่งก็ดูจะมีกระแสตอบรับจากฟากรัฐบาลแต่ในรูปแบบของการผ่อนปรนตามระยะจากการพบผู้ติดเชื้อในประเทศที่น้อยลง รวมถึงจำนวนผู้รักษาหายที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่เรื่องของการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทางสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติยังเสนอให้ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และครม.มีการอนุมัติให้คงสถานะพ.ร.ก. ฉุกเฉินไปอีกหนึ่งเดือน เพื่อการควบคุม และจำกัดเขตของการแพร่กระจายของโรค
การคงอยู่ของของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในมุมของรัฐบาลคือการคงอำนาจในการควบคุมโรคติดต่อ แต่ฝ่ายการเมืองบางคนพยายามตั้งคำถามว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีนัยแอบแฝงหรือไม่? มีการตั้งข้อสงสัยว่าการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่อง เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่? โดยนอกจากป้องกันการชุมนุมแล้วยังตั้งข้อสังเกตว่า ด้วยความที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสมจากหลายพรรคการเมืองซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายพรรคที่ออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง ซึ่งก็ทำให้รัฐบาลระส่ำไม่น้อยทั้งการโจมตีกันเองของพรรคร่วม การที่เสียงแตกในสภา รวมทั้งข้อสั่งการของนายกฯที่อาจไม่ได้รับการสนองจากรัฐมนตรีจากพรรคร่วม การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงเป็นการรวบอำนาจจากหลายกระทรวงให้เข้ามาอยู่ในมือนายกฯแต่เพียงผู้เดียวทำให้การสั่งการ การปฏิบัติเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีเอกภาพ
นอกจากข้อสงสัยดังกล่าวแล้วก็ยังสอดรับกับกระแสข่าวเรื่องความขัดแย้งภายในของพรรคพลังประชารัฐ ที่มีข่าวว่ามีความพยายามของแกนนำในพรรค เดินเกมกดดันนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรค ให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งไม่รู้จริงหรือไม่ สาเหตุที่มีการพูดถึงกัน จากการบริหารงานภายในพรรค ร่วมถึงการบริหารงานช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่มีปัญหามากมาย ยิ่งไปกว่านั้นมีข้อสันนิษฐานว่าความขัดแย้งจริงได้ก่อตัวมาตั้งแต่หลังเลือกตั้ง ปี’62 ที่มีการตกลงกันเรื่องที่นั่งในคณะรัฐมนตรี สร้างความไม่พอใจให้กับ สส.จำนวนหนึ่งภายในพรรค จึงกลายมาเป็นความขัดแย้งในปัจจุบันหรือไม่?
และแม้ว่าพล.อ.ประวิตร จะออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า ไม่มีความขัดแย้งภายในพรรคอย่างที่เป็นข่าว แต่ก็ยังสร้างความคลางแคลงใจให้กับประชาชน โดยเฉพาะกระแสข่าวการเตรียมตั้งพรรคใหม่ ของกลุ่มสามมิตร โดยให้นายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท พปชร. และแกนนำกลุ่มสามมิตรจะนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรค ทั้งนี้หากความขัดแย้งภายในพรรคเกิดขึ้นจริงจนนำไปถึงการแยกพรรคจริง สถานการณ์ของรัฐบาลก็อาจตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะความแตกแยกภาคในพลังประชารัฐอาจเท่ากับเสริมรอยร้าวในรัฐบาลไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็อาจจะเอาไม่อยู่? แต่หากไม่ใช่เรื่องจริง ก็ยังมีการคาดการณ์ว่าอาจเป็นการเขย่าภายในพรรคเพื่อต้องการให้มีการปรับครม.ในโควตาภายในพลังประชารัฐเองหรือไม่?
และไม่ใช่แต่เพียงพรรคพลังประชารัฐที่มีทีท่าว่าอาจจะมีการแตกขั้วภายใน แต่ในมุมตรงกันข้ามอย่างพรรคเพื่อไทยก็มีกระแสข่าวการแตกขั้วของคนภายในเครือข่ายเพื่อไทยเช่นเดียวกัน โดยมีกระแสข่าวว่ามีการแตกสายออกเป็น 3 สายคือของนายภูมิธรรม ที่มีแนวร่วมอย่างหมอเลี้ยบ? สายที่สองคือสายนายพงษ์ศักดิ์ อดีตรมว.พลังงาน ที่มีข่าวว่าอาจรวมไปถึง ร.ต.อ.เฉลิม ขุนพลเก่าแก่ของพรรคอีกคนหนึ่ง? และสายที่สามคือสายของนายจาตุรนต์ ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีการรวบรวมขุนพลแตกทัพจากไทยรักษาชาติมาตั้งพรรคใหม่เพื่อเข้าสนามการเมืองอีกครั้งหรือไม่?
งานนี้กระแสข่าวยังลามไปถึงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มสนับสนุนประธานยุทธศาสตร์พรรค กับกลุ่มสนับสนุนหัวหน้าพรรค ที่ดูเหมือนจะมีอะไรในตอนนี้หรือไม่ ซึ่งมีคนตั้งประเด็นต่อการเลือกตั้งซ่อมที่ลำปาง รวมถึงการจับตาดูท่าทีการอภิปราย 5 วันนี้ของแกนนำพรรคเพื่อไทยกลุ่มต่างๆว่าจะเป็นอย่างไร คงมองต่อไปไม่ยาก นี่ยังไม่นับรวมพรรคเกิดใหม่ก่อนหน้าอย่างพรรคกล้าที่ส่วนหนึ่งแตกออกมาจากประชาธิปัตย์ และพรรคอนาคตใหม่ ที่ตอนนี้กลายเป็นพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าที่ไม่รู้ว่าทิศทางอนาคตต่อไปจะเป็นอย่างไร?
หากเกิดขึ้นจริงแสดงให้เห็นว่านักการเมืองอาชีพหลายกลุ่มกำลังถ่ายเทขุมกำลังแตกพรรคซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้อาจเชื่อได้ว่าในมุมมองของการเมืองอาชีพได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ที่สถานการณ์ปัจจุบันอาจนำไปสู่การล้างไพ่ และเกมการเมืองจะกลับสู่สนามการเลือกตั้งอีกครั้งหรือไม่? เพราะการแยกพรรคในขณะนี้อาจทำได้เพียงการสร้างกลุ่มก้อนที่ชัดเจนขึ้น แต่ไม่มีผลทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้เป็น สส. ในปัจจุบันย่อมมีผลเพียงแค่การรวมกลุ่มก้อนเพื่อสร้างปรากฏการณ์บางอย่างเท่านั้น ซึ่งหากวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันถือว่ามีเค้าลางที่พอเป็นไปได้ วิกฤติโควิด-19 กำลังจะผ่านพ้นไปเพียงต้องประคองไม่ให้มีระลอกที่ 2 ที่รุนแรงขึ้นอีกเท่านั้น แต่วิกฤติเศรษฐกิจกำลังตามมา
ซึ่งประเด็นที่อาจเป็นชนวนให้เกิดการล้างไพ่รัฐบาลปัจจุบันกลับไปสู่การเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง นั่นคือปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นเรื่องใหญ่ที่อาจล้มรัฐบาลได้ โดยในอดีตเรื่องของปากท้องประชาชนเป็นจุดแตกหักที่ทำให้หลายรัฐบาลไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ จนต้องเข้าสู่กระบวนการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่หลายครั้ง ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันอาจดูสุ่มเสี่ยงกับกรณีนี้เนื่องจากผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และการออกมาตรการล็อกดาวน์ธุรกิจหลายประเภท ตลอดจนธุรกิจการท่องเที่ยว และการส่งออกทำให้เม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบน้อยลง ประชาชนไม่มีเงินในการจับจ่ายทำให้การบริโภคภายในประเทศต่างชะลอตัวลง สถานการณ์เช่นนี้ผู้บริหารเศรษฐกิจต้องใช้มาตรการยาแรงที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งการให้เงินเยียวยา 5,000 บาท หรือเงินเยียวยาเกษตรกรที่ออกไปบ้างแล้ว ทำให้เม็ดเงินในระบบมีมากขึ้นแต่ต้องยอมรับว่าการจ่ายเงินอุดหนุนเป็นมาตรการแบบชั่วคราวไม่ยั่งยืน
สิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องหลังจากที่เม็ดเงินเข้าสู่ระบบคือการกระตุ้นให้มีการหมุนเวียนของเงินในระบบ โดยออกมาตรการจูงใจให้เกิดการบริโภคภายในประเทศ อย่างเช่นโครงการไทยเที่ยวไทย หรือชิมช้อปใช้ ที่กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศทำให้มีการหมุนเวียนของกระแสเงินสดในระบบ นอกจากนั้นควรใช้โอกาสในครั้งนี้ลงทุนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดการลงทุนจากภาครัฐ เกิดการจ้างงาน และจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะยาวมากกว่าเงินอุดหนุน การใช้เงินงบประมาณดังกล่าวมีการคาดการณ์ว่าจะอยู่ในกรอบเงินงบประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท ที่มีการอออกพ.ร.ก.เพื่อประคับประคองสถานการณ์ โดยแบ่งเป็นการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท การอนุมัติกรอบวงเงิน 5 แสนล้าน เพื่อช่วยเหลือธุรกิจ และการอนุมัติกรอบวงเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน4 แสนล้านบาท โดยจะมีการนำเข้าสภาในสัปดาห์นี้เพื่อพิจารณา
ท่าทีของฝ่ายค้านในสภาต่อวาระการพิจารณา พ.ร.ก. กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท มีการยื่นข้อเสนอจากผู้ประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า ฝ่ายค้านพร้อมจะให้ พ.ร.ก. ผ่านในสภาแต่ขอให้ทางรัฐบาลสัญญาว่าจะให้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อตรวจสอบการใช้งบประมาณดังกล่าว รวมถึงกล่าวต่อว่ามีช่องในการยื่นให้ พ.ร.ก.เข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญหากรัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามได้ชัดเจนมากเพียงพอ แต่ไม่อยากให้ไปถึงขั้นนั้น ซึ่งจากการคาดการณ์เชื่อได้ว่า พ.ร.ก. ดังกล่าวจะผ่านสภาไปได้อย่างไม่ยากนัก เพราะรัฐบาลเองมีการเตรียมตัวมาพอสมควรและกรอบการกู้เงินจริงๆ ก็เป็นเม็ดเงินเพียง 1 ล้านล้านบาท
แต่ที่ต้องจับตาคือเรื่องการอภิปรายของฝ่ายค้านที่จะชำแหละการบริหารงานของรัฐบาลได้ถึงลูกถึงคนมากเพียงใด ซึ่งหากมีประเด็นที่รัฐบาลตอบไม่ได้หรือได้ไม่ดีพออาจเป็นเรื่องที่ถูกนำมาขยายความต่อนอกสภาก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลอาจต้องระวังมากยิ่งขึ้น เพราะเรื่องที่ออกมานอกสภาแล้วอาจถูกตีความขยายความเพิ่มเติมจนกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลได้ อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาว่าจะสามารถรักษาผลประโยชน์สูงสุดของชาติไว้ได้....
“ไม่ว่าเป็นวิกาลเหน็บหนาวยาวนานปานใด ต้องมีเวลาฟ้าสางสว่าง”
โกวเล้ง จากเรื่องขอบฟ้า จันทรา ดาบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี