“เจ้า (ประธานาธิบดี) จอมทวีต” (Twittering President)เป็นหนึ่งในอีกหลายๆ ฉายาที่สื่อมวลชนตั้งให้กับทรัมป์ ด้วยพฤติกรรมการชอบออกมาพูดโน้น พูดนี่ผ่านการทวีตเตอร์ (Twitter)หรือ “การออกมาส่งเสียงร้อง-จ้อกแจ้ก” ทางออนไลน์ ที่ทำได้ครั้งละไม่เกิน 280 คำ
ตัวอย่างการทวีตเตอร์ของทรัมป์
อย่างไรก็ตาม การทวีตเตอร์กลายเป็นการสื่อสารทางการเมืองอันทรงพลังระหว่างทรัมป์กับกลุ่มแฟนคลับและฐานเสียงของเขาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น คนขาว การศึกษาไม่สูง การงานไม่มีความมั่นคงนักหรือตกงานไปโบสถ์อยู่เป็นประจำและอาศัยอยู่ตามเมืองเล็ก ในรัฐต่างๆ
ด้วยลีลาการทวีตเตอร์ที่ใช้คำง่ายๆ ทำชาวบ้านเข้าใจได้ไม่ยาก รวมไปถึงการจิกกัดเสียดสี เหน็บแนมและชอบตั้งฉายาให้กับฝ่ายตรงข้ามเช่น โจ ผู้น่าเบื่อ(Sleepy Joe)เมื่อพูดถึง โจ ไบเดนคู่แข่งในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีของเขาปลายปีนี้, เรียก ฮิลลารีคลินตัน ว่า ยัยขี้โกง (Crooked Hilary) ทุกครั้งเวลาเอ่ยชื่อเธอ, หรือเรียก คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือว่า มนุษย์จรวด (Rocket man) เป็นต้น
การสื่อสารทางการเมืองของทรัมป์ที่ไปตรงใจชาวบ้านนั้นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนพูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้เก่งหรือย่อยความรู้ได้ดี เพราะความจริงแล้วทรัมป์เป็นคนที่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือมากและมีความรู้รอบตัวที่น้อยมาก ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีคำศัพท์(vocabulary) อยู่ในกระเป๋ามากนักสำหรับการหยิบมาใช้เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก เขาจึงต้องใช้คำง่ายๆ พื้นๆ และใช้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด
ถ้าไปดูห้องทำงานที่ทำเนียบขาวของทรัมป์จะพบว่าชั้นหนังสือหรือบนโต๊ะทำงานนั้นไม่มีหนังสือหรืองานเขียนประเภทที่ให้ความรู้หรือประเทืองปัญญาเลย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนิตยสารต่างๆ ที่มีเรื่องราวบทสัมภาษณ์ของทรัมป์หรือครอบครัวของเขา โดยเฉพาะเล่มที่มีรูปเขาขึ้นปกและหนังสือชีวประวัติตัวเองหนังสือเรื่องการเจรจาทางธุรกิจ (the art of deal) ของเขาที่คนอื่นเขียนให้
สื่อหลายสำนักได้รวบรวมการทวีตเตอร์ของทรัมป์ตั้งแต่วันแรกที่เขาเป็นประธานาธิบดีเมื่อสามปีกว่าที่แล้ว พบว่าทรัมป์ใช้คำศัพท์อยู่ไม่เกิน 5,000 คำ โดยคำที่ใช้บ่อยมากที่สุดก็คือคำว่า Great (ไม่นับรวมศัพท์ประเภท the, a , I, you, me หรือ กิริยาทั่วไปเช่น am, is, are, have อะไรเหล่านี้ เป็นต้น)ที่เขามักใช้เป็นคำคุณศัพท์เพื่อไปขยายคำอื่นๆ เช่น great man, great people,great guy, great economy, make American great again……สังเกตได้ว่าในขณะที่ทรัมป์จะเก่งในการตั้งฉายาทางลบให้กับคนโน้นคนนี้ แต่เวลาจะชมใคร เขากลับไม่สามารถหาคำชมที่เหมาะสมกับบุคคลนั้นๆ เป็นรายๆ ไป ใช้ได้แค่คำว่า greatหรือยิ่งใหญ่ ยอดเยี่ยม ได้เพียงแค่คำเดียวกับทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่าง
ทั้งนี้ บริษัทลิงกัวโฟน (Linguaphone) ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการจัดทำสื่อการสอนทางด้านภาษามาตั้งแต่ปี 1901 ได้เคยทำแบบสำรวจพบว่า คนที่อ่านเขียนไม่ได้นั้น จะรู้ศัพท์ไม่เกิน 500 คำ เด็กสองขวบประมาณ 300 คำ พอสัก 8 ขวบ ก็ 2,000-3,000 คำขณะที่ผู้ใหญ่ที่ไม่ฉลาดก็จะรู้สัก 10,000 คำ ส่วนผู้ใหญ่ทั่วไปก็อยู่ประมาณ 35,000-70,000 คำ ส่วนพวกหนอนหนังสือหรือนักอ่านจะมีศัพท์อยู่ในกระเป๋าคนละอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคำ
กระนั้นก็ตาม ด้วยสถานะที่เป็นคำพูดหรือวาจาที่เปล่งออกมาจากปากของผู้นำระดับประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา การทวีตเตอร์ของทรัมป์ก็มักถูกนำเข้าไปเป็นกรณีศึกษาในวิชา ศิลปะการพูดจาหว่านล้อมทางการเมือง (the art of political persuasion) ในคณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่อเมริกา
วิชานี้เป็นการสอนแบบสัมมนา โดยหยิบยกลีลาการพูดในลักษณะหรือรูปแบบต่างๆ ของผู้นำหรือบุคคลที่น่าสนใจซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองเสมอไปมาทำการวิเคราะห์กัน เช่น ผู้นำอย่างโอบามานั้นจะพบว่าในกระเป๋าคำศัพท์ของเขานั้นมีคำอยู่ไม่น้อยกว่าแสนคำ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับคนที่เคยเป็นอดีตบรรณาธิการวารสารกฎหมายของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและศาสตราจารย์พิเศษทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างโอบามา
ขณะที่คนอย่าง บิลล์ คลินตัน จะมีทักษะการพูดที่สร้างเพื่อนใหม่ได้อยู่ตลอดเวลา (ครั้งหนึ่ง ฮิลลารี คลินตัน ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า....ตอนที่บิลล์มาเทียวไล้เทียวขอตามจีบเธอ ในช่วงที่ทั้งคู่กำลังเป็นนักศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยเยล เธอไม่สนใจบิลล์เลยจนกระทั่งวันหนึ่ง เธอเห็นบิลล์เดินทักคนโน้น เรียกชื่อคนนี้ ทั่วไปหมดทั้งในโรงอาหาร หลังจากนั้น เธอจึงเริ่มสนใจบิลล์ เพราะคิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องมีอะไรในตัวพิเศษ ไม่ธรรมดาแน่ๆ)
ซึ่งคล้ายๆ กับ บุช จูเนียร์ ที่คนอเมริกันมองว่าถึงแม้เขาจะไม่ใช่ผู้นำที่ดีนัก แต่บุชก็เป็นบุคคลประเภทที่เหมาะจะนั่งกินเบียร์และมีบทสนทนาที่สนุกๆ ด้วยกัน
ส่วนการทวีตเตอร์ของทรัมป์นั้น เป็นศิลปะการหว่านล้อมทางการเมืองที่ไม่เหมือนใคร เพราะที่ผ่านๆ มา ไม่มีผู้นำคนไหนใช้ทวีตเตอร์เป็นเครื่องมือสื่อสารทางการเมืองแบบทรัมป์หรือมากเท่าเขานั้น คงเป็นเพราะความไม่ช่ำชองในการพูดแบบสดๆ ไม่มีคลังคำศัพท์อยู่ในตัวมาก รวมไปถึงนิสัยการโกหก พูดแบบความจริงครึ่งเดียว ความจริงไม่ครบมาโดยตลอด เขาจึงต้องเลือกวิธีการสื่อสารแบบทางเดียว (one-way communication) ด้วยบทสนทนาแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อนกับคู่สนทนาเพราะด้วยการโกหกพกลมมาตลอดสามปีกว่าตั้งแต่วันแรกที่สาบานตน มันจึงเป็นการยากที่จะจำได้ว่าตัวเองโกหกเรื่องราวอะไรไว้บ้าง
เรื่องความสามารถในการโกหกของทรัมป์นั้น เคยมีการวิเคราะห์แบบทีเล่นทีจริง ในหมู่นักข่าวทำเนียบขาวว่า....การที่ทรัมป์โกหกได้เก่งขนาดนี้ ก็เพราะเขาโกหกมาโดยตลอดเป็นเวลาต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจนกระทั่งตัวของเขาเองก็เผลอไปเชื่อในคำโกหกของตนเองเข้าไปด้วย ดังนั้นจึงยิ่งทำให้ทรัมป์พูดจาโกหกหน้าตายได้ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ......
ฉะนั้นการออกมาส่งเสียงร้อง-จ้อกแจ้ก-ทางออนไลน์ ที่ทำได้ครั้งละไม่เกิน 280 คำ ผ่านการใช้ทวีตเตอร์จึงเป็นอาวุธสำคัญที่ทรัมป์ใช้เพื่อสื่อสารกับกลุ่มคนผู้สนับสนุนเขา ด้วยรูปประโยคที่สั้นและง่าย ใช้สำนวนที่ตรงไปตรงมา เข้าสู่ประเด็นด้วยการตัดคำที่ไม่จำเป็นออก ใช้คำกิริยา คำคุณศัพท์หรือคำวิเศษณ์เท่าที่จำเป็น ไม่มีคำฟุ่มเฟือยหรือคำศัพท์สูงส่งที่มีสีสันฉูดฉาด ซึ่งถ้าดูกันแล้วก็จะคล้ายกับการเขียนของเด็กนักเรียน แต่อย่างไรก็ตาม (ไม่ว่าจะโดยที่ทรัมป์ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) การสื่อสารแบบนี้นั้น กลับกลายเป็นศิลปะการหว่านล้อมทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพกับฐานเสียงของเขาที่ตามกดไลค์ (like) ถูกใจกันอย่างไม่ขาดสาย
ดังนั้น ถึงแม้จะถูกจัดเข้าสังกัดผู้นำเผ่ายี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าทรัมป์จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งศึกประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน ปลายปีนี้
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี