รายงานข่าวสั้นๆ ที่แฝงความลึกลับ ซ่อมปมบางอย่าง คล้ายกันกับชีวิตของผู้ถูกกล่าวถึง...
นั่นคือ ข่าวรูปปั้นเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ถูกลักขโมยที่ฝรั่งเศส ก่อนที่จะได้กลับคืนมาภายใน 24 ชั่วโมง
1. ล่าสุด โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นายเชิดเกียรติ อัตถากร เปิดเผยว่า สำนักงานนายกเทศมนตรี เมืองแบรสต์ ได้แจ้งสถานทูตฯ ว่ามีผู้นำรูปปั้นเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) มาตั้งกลับคืนไว้ที่ฐานเดิมในช่วงกลางดึก และรูปปั้นไม่มีความเสียหาย ขณะนี้ ทางเมืองแบรสต์ได้นำรูปปั้นมาเก็บรักษาไว้ที่ที่ทำการเมือง เพื่อรอการปรับระดับฐานให้สูงขึ้นก่อนติดตั้งอีกครั้ง
นับรวมเวลารูปปั้นหายไปประมาณ 24 ชั่วโมง
2. เหตุการณ์ข้างต้น ทำให้นึกถึงเรื่องราวชีวิตจริงของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)ซึ่งเต็มไปด้วยสีสัน มีเสน่ห์ น่าสนใจ มีความลึกลับน่าค้นหา
ถึงขนาดเคยมีผู้นำไปสร้างเป็นตัวละครสำคัญในละครมาแล้ว
ประวัติชีวิตของ “ออกญาโกษาปาน” ช่วงที่ถูกจดจำมากที่สุด เพราะเป็นช่วงสำคัญส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย คือ ช่วงที่เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับชาติมหาอำนาจ เพื่อความอยู่รอดของราชอาณาจักรในยุคนั้น
ได้ชื่อว่าเป็น ราชทูตลิ้นทอง จากความสำเร็จ ด้วยความเป็นนักการทูตที่สุขุม ละเอียดลออ ชาญฉลาด
“ออกญาโกษาปาน” มีชื่อเดิมว่า ปาน ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระวิสุทธสุนทร (ปาน) และได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตออกไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส
โกษาปานเดินทางไปกับเรือฝรั่งเศส เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2228
ได้เข้าเฝ้าฯพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2229
เดินทางกลับเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2230
รวมเดินทางไป-กลับ อยุธยา-ฝรั่งเศส ทั้งหมด 1 ปี 9 เดือน
พระวิสุทธิสุนทร (ปาน) ทำหน้าที่เป็นผู้แทนของราชสำนักอยุธยา ได้รับการกล่าวยกย่องชื่นชมจากทางฝรั่งเศส สร้างชื่อเสียงไปทั่วยุโรป ยังผลส่วนหนึ่งทำให้ไทยรอดพ้นจากการคุกคามของฮอลันดาในยุคนั้น
การจัดทำรูปปั้นเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ประดิษฐาน ณ ถนนสยามเมืองแบรสต์ ได้รับความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมจากทางการฝรั่งเศส เพราะทราบดีถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ดังกล่าว เพื่อเฉลิมฉลอง 333 ปี ที่ราชทูตสยามเยือนฝรั่งเศส ซึ่งคณะราชทูตได้ขึ้นท่าที่เมืองแบรสต์ ก่อนเดินทางไปเข้าเฝ้าฯพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั่นเอง
3. ชีวิตของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) โลดโผน มีสีสัน ผกผัน และมีส่วนที่ลึกลับ ยิ่งกว่าละคร
คุณวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนผู้มากฝีมือ ทั้งในแง่วรรณศิลป์ และความรู้ลึกซึ้งจากการค้นคว้าข้อมูลประวัติศาสตร์ ได้เคยเล่าถึงช่วงชีวิตที่น่าสนใจศึกษาเรียนรู้ของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
ว่าด้วยเรื่อง “ประวัติศาสตร์ที่เราลืม ตอน ใต้ฟ้านารายณ์” ความบางส่วนว่า
“...บนกำแพงบ้านตรงโถงหน้าแขวนรูปราชวงศ์ฝรั่งเศสกับแผนที่ยุโรป เครื่องเรือนไม่กี่ชิ้น ฝุ่นและหยากไย่เกาะ
เขามองรูปบนกำแพง เขาอยู่ในรูปกับพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส เป็นช่วงเวลาทองในชีวิตของเขา การเดินทางไปเชื่อมสัมพันธ์กับฝรั่งเศสที่เลื่องชื่อครั้งนั้น
เขาชื่อปาน เขาเป็นถึงเจ้าพระยา เขาเคยอยู่บนยอดเขา แต่เขารู้ว่าต่อไปนี้คือการเดินลงเหว
ลมกำลังเปลี่ยนทิศ
ชีวิตของเขาคือการเดินทาง และเขารู้ดีว่าการเดินทางมีทั้งขึ้นที่สูงและบางครั้งก็ลงเหว
นี่คือเวลาลงเหว
...
รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นห้วงเวลาที่อยุธยาติดต่อค้าขายกับต่างประเทศหลายชาติ เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ วาติกัน เปอร์เซีย อินเดีย และจีน
ในราชสำนักสยามมีชาวต่างชาติหลายคนเข้ามาเป็นที่ปรึกษา ที่โดดเด่นที่สุดคือ คอนสแตนติน ฟอลคอน หรือเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ดำรงตำแหน่งว่าที่สมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน เป็นที่ปรึกษาคนสนิทของราชา
เวลานั้นฝรั่งเศสกำลังเริ่มกระบวนการแผ่อิทธิพลในแผ่นดินแหลมทอง ทั้งทางทหารและศาสนา
เจ้าพระยาวิชเยนทร์แนะนำสมเด็จพระนารายณ์ฯให้ถ่วงดุลอำนาจของโปรตุเกสและฮอลันดา โดยผูกไมตรีกับฝรั่งเศส เป็นที่มาของการส่งทูตเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส แต่จะส่งใครไป?
เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ (Chevalier de Chaumont) ราชทูตฝรั่งเศสคนแรกที่มาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามกล่าวกับเจ้าพระยาวิชเยนทร์ว่า “ข้าพเจ้ามีโอกาสพบทูตไทยคนหนึ่ง เป็นผู้ดีเต็มตัว สุขุมคัมภีรภาพ และเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ท่านอาจทูลเสนอพระเจ้าอยู่หัวให้ส่งเขาเป็นทูตไปฝรั่งเศส”
“เขาคือใคร?”
“ออกพระวิสุทธสุนทร”
“ท่านชอบเขา?”
“ข้าพเจ้าประทับใจนิสัยอย่างหนึ่งของเขาคือ บันทึกทุกอย่างที่พบเห็น หากเป็นทูตไปฝรั่งเศส ก็จะสามารถรายงานเจ้าเหนือหัวได้ถูกต้องครบถ้วน”
ด้วยเหตุนี้ ออกพระวิสุทธสุนทรก็ได้เป็นทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจตะวันตก
คณะราชทูตไปฝรั่งเศสประกอบด้วย ออกพระวิสุทธสุนทรเป็นราชทูต ออกหลวงกัลยาราชไมตรีเป็นอุปทูต ออกขุนศรีวิศาลวาจาเป็นตรีทูต เดินทางไปพร้อมกับคณะของบาทหลวงเดอลีออง รวมสี่สิบกว่าชีวิต ออกเดินทางในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2228 ถึงฝรั่งเศสในปีต่อมา
คณะทูตสยามเข้าเฝ้าฯพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2229 เดินทางกลับถึงสยามวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2230 ภารกิจทูตครั้งนี้กินเวลาหนึ่งปีกับเก้าเดือน
ออกพระวิสุทธสุนทรฉลาดหลักแหลม เจรจาได้ฉาดฉานแต่ถ่อมตน เป็นกาวใจเชื่อมสองแผ่นดิน ทำให้ชาติตะวันตกรู้จักอยุธยาในฐานะเมืองที่เจริญและมีวัฒนธรรม
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงรับรองคณะราชทูตจากกรุงศรีอยุธยาอย่างสมเกียรติ โปรดให้ผลิตเหรียญที่ระลึกพิเศษและวาดรูปจิตรกรรมภาพราชทูตไทยเข้าเฝ้าฯพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ข่าวการเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสครั้งนั้นเลื่องลือไปทั่วยุโรป เพราะเป็นครั้งแรกที่พระเจ้าแผ่นดินทางตะวันออกแต่งคณะราชทูตไปเชื่อมสัมพันธ์กับฝั่งตะวันตก นโยบายคานอำนาจตะวันตกทำให้สยามรอดพ้นจากภัยคุกคามของฮอลันดา อย่างน้อยก็ชั่วคราว
พระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ส่งถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยกย่องปานว่าเป็นผู้รอบรู้ พูดจาดี ทำงานเรียบร้อยไม่ขาดตกบกพร่อง สมเป็นทูตเอก
ความสำเร็จของการทูตครั้งนี้ทำให้ออกพระวิสุทธสุนทรได้รับฉายา ราชทูตลิ้นทอง
ราชทูตลิ้นทองเดินทางกลับสยามพร้อมพาทูตฝรั่งเศสมาด้วย คือ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubère) เดินทางมาพร้อมทหารฝรั่งเศสราวหกร้อยคน เรือรบห้าลำ
ความสัมพันธ์ของสองชาติมั่นคงขึ้น ฝรั่งเศสได้รับพระบรมราชานุญาตให้ประจำกำลังที่ป้อม ณ บางกอกและมะริด แม้จะมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับฝรั่งเศส แต่ไม่ทุกกลุ่มในสยามยินดีที่ฝรั่งเศสมาแผ่อิทธิพลแถบนี้ หลายกลุ่มต่อต้านการแทรกซึมเข้ามาของฝรั่งเศสและการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ฝ่ายศาสนาก็อึดอัดกับบทบาทการเผยแผ่ศาสนาของนักบวชคณะเยซูอิตฝรั่งเศส
คลื่นใต้น้ำสะสมพลังขึ้นเรื่อยๆ พร้อม จนถึงปี พ.ศ. 2231 มันก็ระเบิด
ในเดือนมีนาคมปี พ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์ฯประชวร พระอาการหนัก ทรงมอบให้พระเพทราชาว่าราชการแทน พระเพทราชาจึงฉวยโอกาสนี้รุกคืบชิงอำนาจ
พระเพทราชาเป็นนายทหารที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงไว้วางพระทัย ทว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่างจากองค์กษัตริย์ พระเพทราชาปรารถนาขับไล่กองทหารฝรั่งเศสออกจากสยามโดยสิ้นเชิง การยึดอำนาจครั้งนี้ได้รับความสนับสนุนจากขุนนางที่เกลียดเจ้าพระยาวิชเยนทร์และพระสงฆ์ที่ไม่ชอบใจบทบาทการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของฝรั่งเศส
...
สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงรู้และพิโรธ แต่ทรงทำการใดไม่ได้แล้ว ทรงกลายเป็นนักโทษในวังของพระองค์เอง เสด็จสวรรคตในวันที่ 9 กรกฎาคม 2231 พระชนมพรรษา 56 พรรษาพระเพทราชาทรงปราบดาภิเษกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม สถาปนาราชวงศ์ใหม่บ้านพลูหลวง
ระหว่างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ออกพระวิสุทธสุนทรถูกบีบให้เข้าร่วมกับฝ่ายของพระเพทราชา
ในแผนการขับไล่ฝรั่งเศสออกจากแผ่นดิน พระเพทราชาทรงส่งทหารสี่หมื่นคนเข้าปิดล้อมป้อมของทหารฝรั่งเศสที่บางกอก เวลานั้นมีทหารฝรั่งเศสประจำการในป้อมเพียงสองร้อยคน
ทั้งสองฝ่ายเตรียมรบ สงครามกำลังจะเกิด
พระเพทราชาส่งทหารไปจับบาทหลวงและชาวฝรั่งเศสไปขังเป็นตัวประกัน นอกจากนี้ยังยึดเรือกำปั่นฝรั่งเศสสองลำ ช่วงเวลาที่เผชิญหน้ากับฝรั่งเศสอยู่ สมเด็จพระนารายณ์ฯสวรรคต พระเพทราชาขึ้นครองราชสมบัติ กองทัพสยามยังคงล้อมฝรั่งเศส
การปิดล้อมบางกอกกินเวลาสี่เดือน ออกพระวิสุทธสุนทรได้รับคำสั่งให้ไปเจรจากับฝ่ายฝรั่งเศสให้ถอนทหารออกไป พระเพทราชาคืนเรือกำปั่นที่ยึดไว้ ในที่สุดทหารฝรั่งเศสก็เดินทางออกไปหมด เหลือมิชชันนารีบางส่วนที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินศาสนกิจในอยุธยาต่อไปได้ ใต้ข้อบังคับบางอย่าง
สยามกลายเป็นประเทศปิด ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับชาติตะวันตกเกือบหมดสิ้น
สมเด็จพระเพทราชาทรงแต่งตั้งให้ออกพระวิสุทธสุนทรเป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดี ดูแลด้านการค้าและการต่างประเทศ แต่ยิ่งขึ้นที่สูง ก็ไม่เป็นที่พึงพระทัยของกษัตริย์องค์ใหม่
แม้สิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯไปแล้ว โกษาปานก็ยังคงซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์เดิมอย่างมาก ปรามสมเด็จพระเพทราชาว่ากระทำการไม่สมควรคือ แต่งตั้งพระชายาและพระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ฯเป็นพระมเหสี เป็นเหตุให้สมเด็จพระเพทราชานั้นกริ้วโกษาปาน
ช่วงหลายปีต่อมา มีข่าวว่าโกษาปานถูกลงอาญาบ่อยครั้ง เขาถูกกล่าวหาว่ามีสายสัมพันธ์กับฝรั่งเศสและยังจงรักภักดีต่อสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ครั้งหนึ่งด้วยความกริ้ว พระเพทราชาใช้พระแสงตัดปลายจมูกของปาน
.....
หมายเหตุ ตำนานเกี่ยวกับช่วงสุดท้ายของชีวิตของโกษาปานไม่ชัดเจน บางตำนานเล่าว่าใน พ.ศ. 2242 โกษาปานถูกลงอาญาอย่างหนัก ครอบครัวถูกจับคุมขัง ทรัพย์สมบัติถูกริบเป็นของหลวง เล่ากันว่าเขาเสียใจจนใช้มีดแทงตัวตายในปี พ.ศ. 2243 บางตำนานเล่าว่าเขาถูกโบยจนตาย ศพถูกนำไปฝังโดยไม่มีพิธี วันเดือนปีที่ท่านเสียชีวิตก็ไม่ตรงกันในแต่ละตำนาน อาจเป็นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2242 บ้างว่าคือเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2243
แต่ไม่ว่ารายละเอียดเป็นเช่นไร ความจริงก็คือราชทูตลิ้นทองผู้เชื่อมความสัมพันธ์ของสองแผ่นดินก็จบชีวิตอย่างไม่สมเกียรติ ทิ้งไว้แต่ตำนานการทูตมาจนบัดนี้”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี