พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“...ทุกประเทศได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทั้งนั้น แต่ต้องยอมรับว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหนักมากกว่าหลายๆ ประเทศ ด้วยการคาดการณ์ตัวเลขจีดีพีประเทศไทยปีนี้จะหดตัวมากที่สุดในอาเซียน มีผู้ประกอบการ SMEs ที่หมุนเงินไม่ทัน เสี่ยงต้องเลิกกิจการหรือล้มละลายนับล้านราย คนตกงานอาจพุ่งไปถึง 7-8 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แย่กว่าวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 หลายเท่า
...แต่ปัญหาเศรษฐกิจที่เรากำลังประสบอยู่ในไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นมาพร้อมกับมาตรการต่อสู้โควิดของรัฐบาล เพราะมันเริ่มมีเค้าลางมาตั้งแต่ก่อนโควิดอยู่นานพอสมควร แต่การใช้มาตรการสู้โควิดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ที่ไม่รัดกุม ไม่ใส่ใจ ทำให้มาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่ทั่วถึง และไม่เข้าใจผู้ที่ได้รับผลกระทบ
...ซ้ำร้ายกว่านั้น โครงการเงินเยียวยา 5 พันบาท “เราไม่ทิ้งกัน” งวดสุดท้ายกำลังจะหมดลงสิ้นเดือนนี้ แต่ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนยังคงอยู่ เนื่องจากหลายภาคส่วนยังไม่สามารถทำมาหากินดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ และสิ่งเหล่านี้เองจะทำให้สภาพปัญหาหลังเดือนมิถุนายน ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีกโดยยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ทั้งหมดทั้งปวงนี้แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาของรัฐบาลในการแก้วิกฤติประเทศที่เป็นเชิงรับ ไม่มีแผนชัดเจน และไร้ซึ่งวิสัยทัศน์
…ปัญหารอบด้านเหล่านี้ ยังทำให้กระแสกดดันการเปลี่ยนตัวทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น ถูกซ้ำเติมไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะไม่ใช่แค่การเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจจากการเล่นการเมืองต่อรองผลประโยชน์กันในพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น แต่มันคือการชี้ให้เห็นว่าไม่มีใครอยาก “เปลืองตัว”ขอเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ หรือหากมีคนเสนอตัวอยากเข้ามาทำ แต่ก็ “ไม่มีใครไว้ใจใคร” ให้เข้ามาแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้ เพราะมันหนักหนาสาหัสเกินที่เราจะจินตนาการได้แล้ว
...หากใครติดตามรายละเอียดงบฟื้นฟูประเทศในส่วนเงินกู้ 4 แสนล้านบาท และแผนงบประมาณประจำปี 2564 ที่มีมูลค่า 3.3 ล้านล้านบาท จะเห็นได้เลยว่าการฟื้นฟูและพลิกประเทศกลับมาให้ดีกว่าเดิมนั้น คงจะไกลเกินความเป็นจริงไปมาก เพราะรายละเอียดการทำงบประมาณปีหน้า ยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนประเทศไม่ได้มีวิกฤติ หรืองบฟื้นฟู 4 แสนล้าน ก็มีแต่โครงการยิบๆ ย่อยๆ ซ้ำกับโครงการปกติที่ทำอยู่แล้วไม่ได้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เราควรวาง เช่น การแก้วิกฤติและการพลิกฟื้นประเทศให้กลับมาเป็นประเทศที่ก้าวหน้ามีศักยภาพในการแข่งขันในเวทีโลก
…ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น เพื่อจะสื่อว่า นี่คือเหตุผลสำคัญอย่างยิ่ง ที่เราไม่เพียงแค่ตรวจสอบการใช้งบให้มี “ประสิทธิภาพ” และ “ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น” เท่านั้น แต่เราต้องตรวจสอบ “มาตรการ” ที่ออกมาของรัฐบาลด้วยว่า “สมเหตุสมผล” และทำให้ “ประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุด” รวมถึงจะ “พลิกฟื้นประเทศ” ได้สำเร็จหรือไม่”
ในช่วงแรก เป็นความเห็นส่วนตัวของคุณพิธาครับ ผมไม่มีประเด็นจะแลกเปลี่ยนอะไร เพราะพูดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะมันผ่านมาแล้ว รัฐบาลทุ่มทุก “ต้นทุน” ไปสู้กับ “โรค” โดยลืมเรื่องเศรษฐกิจ การจ้างงาน และปากท้อง ซึ่งมันรวมอยู่ใน “ต้นทุน” ที่ว่านั้นด้วย เขาได้ปล่อยการจ้างงาน “หลุด” ไป ทั้งๆ ที่ “ดึง” ไว้ได้ ฯลฯ ซึ่งพูดก็จะถูกมิตรรักแฟนเพลงของรัฐบาลมองว่า “ดีแต่ตำหนิ ไม่ให้กำลังใจกัน”
เอาปัจจุบันและอนาคตดีกว่าครับ
ผมจึงเห็นด้วยกับความเห็นในตอนท้ายของคุณพิธา ที่ว่า งบฟื้นฟูประเทศในส่วนเงินกู้ 4 แสนล้านบาท และแผนงบประมาณประจำปี 2564 ที่มีมูลค่า 3.3 ล้านล้านบาท นั้นยังตั้งอยู่บน “ความเลื่อนลอย” ไม่รู้ว่ามันเป็น “กระสุน” ที่จะยิงเข้า “เป้า” ไหน หรือทำได้แค่ “สาดลูกกระสุน” ออกไป
แต่เรามีลูกกระสุนอยู่จำกัดนะครับ
และเราก็เอา “เงินอนาคต” มาใช้เป็นลูกกระสุนอยู่ด้วย
ดังนั้น รีบ “หาเป้า” กันให้เจอเถอะครับ แล้วเลือกยิงอย่างแม่นยำ
ผมจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของ ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ซึ่ง “แหลมคมมาก” ในสถานการณ์ปัจจุบัน ท่านเป็นรองประธานกรรมาธิการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการใช้เงินกู้ ชุดที่ ครม. ส่งนายไพบูลย์ นิติตะวัน ไป “ใหญ่” อยู่ในนั้นแหละครับ แต่ท่านกลับเป็นหลักในการสร้างบรรยากาศของความร่วมไม้ร่วมมือ และทำให้การประชุม “ได้งาน” มากกว่า “พล่าม”
ดร.กนก เป็นบุคคลหนึ่งที่อยากเห็นการใช้ “เงินกู้” อย่างมีประสิทธิภาพ ยิงเข้าเป้าให้แม่นยำ นำไปสู่ “รอยยิ้มของประชาชน” ที่ทุกข์ยาก
ท่านเสนอว่า “...เงินกู้มหาศาลจำนวน 1 ล้านล้านบาทที่กระทรวงการคลังกู้มาในนามของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และพลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วนั้น สภาฯ ได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เงินกู้มหาศาลก้อนนี้” และ “ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับเลือกจากสภาฯ ให้เป็นกรรมาธิการในชุดนี้ด้วยดังนั้น การสื่อสารถึงแนวความคิด หลักการ และวาระต่อการปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ต่อประชาชน ก็ถือเป็นการกำกับการปฏิบัติงานที่น่าจะทำให้ทั้งตัวผม และประชาชนเกิดความสบายใจ สำหรับการจับต้องหรือเฝ้ามองได้ในทิศทางที่จะดำเนินไปในอนาคตของการใช้เงิน 1 ล้านล้านบาทเพื่อประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ”
หัวใจในการเสนอของ ดร.กนก คือ “การใช้เงินกู้มหาศาลก้อนนี้ ตรงกับปัญหาที่ประชาชนต้องการให้เข้ามาบริหารจัดการให้หมดไปหรือไม่”
ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย เพราะเท่าที่เห็น มันทำด้วยความเร่งรีบ ทำอย่างไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน และทำอย่างขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการใช้เงินนี้
อาจารย์กนกให้ข้อเท็จจริงว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า ข้าราชการประจำ โดยเฉพาะส่วนกลาง กับชาวบ้านในพื้นที่ มักจะมองปัญหาเดียวกัน ด้วยความคิดและความเข้าใจที่แตกต่างกันเสมอ และนั่นทำให้ปัญหาจะได้รับการบริหารจัดการตามแนวทางของข้าราชการประจำ ที่เป็นฝ่ายปฏิบัติและควบคุมงบประมาณ โดยที่ชาวบ้านผู้ที่ต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านั้นโดยตรง ขาดการมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันในการแก้ไขปัญหานั้นๆ
อาทิ ชาวบ้านมองว่า ปัญหาการทำเกษตรเกิดจากการขาดแคลนน้ำ แต่ข้าราชการมองว่า ปัญหาการทำเกษตรเกิดจากการไม่มีความรู้ของเกษตรกร ดังนั้น โครงการที่ชาวบ้านอยากได้จากการใช้งบประมาณคือการจัดหาน้ำเพื่อการเกษตร แต่ข้าราชการกลับเสนอโครงการฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับเรื่องการผลิตหรือเพาะปลูก พร้อมกับการมอบเมล็ดพันธุ์ กล้าไม้ ปุ๋ย เพื่อให้เกษตรกรไปปลูก เป็นต้น ท้ายที่สุด ปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข และงบประมาณก็จะหายไปเพราะไม่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของชาวบ้านในพื้นที่ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นต้น”
นายกฯ ได้คิดเรื่องพวกนี้บ้างไหม ว่า
1) เรามีเงินจำกัด จนต้องกู้มาแก้ปัญหา
2) เรารู้ปัญหาของประชาชนกลุ่มต่างๆ จริงแท้แค่ไหน
3) เราเร่งรีบให้หน่วยงานราชการ “ส่งโครงการ” เข้ามาเพื่อขออนุมัติงบประมาณไปทำ
4) เงินที่อนุมัติให้ไปทำ ไปแก้ปัญหาของใคร คุ้มค่าหรือไม่ ยังไม่รวมว่าจะป้องกันการทุจริตอย่างไรด้วย
ยังไม่รวมถึงความซ้ำซ้อนกับงบประมาณประจำปี 2564 ด้วย
เงินของชาติไม่ใช่ใบไม้ ที่จะเดินไปเด็ดมาใช้เมื่อไรก็ได้ มันมีจำกัด และหายาก
ก่อนจะใช้มันเป็นกระสุน ต้องรู้เป้า
เมื่อเห็นเป้า จงใช้พลยิงที่แม่นยำเป็นผู้ยิง
แต่ที่เห็นอยู่ตอนนี้ คือความสะเปะสะปะ เหมือนคนไม่รู้ค่าเงิน
ตราบใดที่ยังเข้าไม่ถึง “ปัญหาที่แท้จริง” ของประชาชน
ทุ่มเงินไปจนสิ้นเนื้อประดาตัว ก็แก้ไม่ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี