หลังจบการอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี’64ยกแรกไปอย่างไม่เกินความคาดหมาย และการอภิปรายของฝ่ายค้านก็ยังดูไม่มีอะไรมากทั้งในและนอกสภา สะท้อนถึงเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลที่ยังเข้มแข็งอยู่ แต่ยังมีประเด็นที่รัฐบาลต้องเก็บมาคิดอีกหลายประเด็น หากดูในเนื้อหาสาระของการอภิปราย ส่วนใหญ่แล้วจุดอ่อนของการบริหารงานที่ผ่านมามีสองส่วนคือ
1.งบประมาณกลาโหมที่ยังคงเป็นเป้าโจมตี
2.ปัญหาเศรษฐกิจทั้งระบบ
โดยเฉพาะเรื่องปากท้องของประชาชนที่ต้องเร่งแก้ไขซึ่งต้องกลับมาทบทวนถึงการใช้จ่ายของภาครัฐอีกทีหนึ่งว่าเรื่องใดมีความจำเป็นเร่งด่วน และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้มากกว่ากัน ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องของการพิจารณาถึงขอเสนอการปรับครม. เพื่อให้เก้าอี้รัฐมนตรีมีความเหมาะสมต่อการปฏิบัติราชการของรัฐบาลใช่หรือไม่?
รอยร้าวในพรรคพลังประชารัฐ ที่เหมือนจะจบไปแล้วด้วยการเลือกพี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร มานั่งเป็นหัวหน้าพรรคเอง แต่ก็ยังมีรอยร้าวที่ยังเล็ดลอดให้เห็นคือปม
เห็นต่างกับกลุ่มที่ถูกเรียกว่า 4 กุมาร ที่มีการจุดประเด็นโดย สส.บางคนโพสต์เฟซบุ๊คว่า มีคนหักหลังผู้มีพระคุณ หักหลังเพื่อนเพื่อผลประโยชน์ และมีการอ้างอิงไปถึงกระแสข่าวว่าไปคล้ายกับผู้สนับสนุนที่มีข่าวว่าอาจจะได้คุมตำแหน่งรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เรื่องนี้ทำให้ความร้อนแรงในพรรคพลังประชารัฐกลับขึ้นมามีประเด็นอีกครั้ง
หากเท้าความกลับไปถึงต้นตอพลังประชารัฐ ก็ต้องยอมรับว่ากลุ่มที่ถูกเรียกว่า 4 กุมาร รวมถึงรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรค ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มการรวมเอาเครือข่ายอดีตนักการเมืองหลากหลายขั้วเข้ามาเป็นฐานของพลังประชารัฐได้สำเร็จ และการวางยุทธศาสตร์ในช่วงการเลือกตั้ง แต่ที่น่าสนใจคือเมื่อเวลาผ่านไป เหตุใดที่กลุ่มแรกๆ ในพลังประชารัฐที่ตอนนี้เหมือนจะถูกลดบทบาทลง หลายคนพูดถึงผลงานการบริหารกระทรวงใหญ่ที่ไม่ได้มีผลงานที่ดีพอ? อีกกระแสหนึ่งเป็นเรื่องของการรวมอำนาจภายในพรรค เพราะขณะที่กลุ่มดั้งเดิมกำลังให้ความสนใจไปที่การบริหารงานของรัฐบาล แต่กลับหลงลืมการใส่ใจกับพรรคการเมืองในพรรคซึ่งเป็นฐาน ทำให้การเมืองภายในมีการเขย่าเพื่อจัดลำดับความสำคัญใหม่หรือไม่? และที่ต้องติดตามต่อไปคือหากมีการปรับเก้าอี้ ครม.จริง และกลุ่มดั้งเดิมนี้หลุดจากตำแหน่งทั้งหมด จะทำให้เกิดเสถียรภาพมากขึ้นหรือสั่นคลอนความน่าเชื่อถือในพรรคพลังประชารัฐหรือไม่?
และเรื่องการปรับครม.นี้ หากไม่มีความชัดเจนต่อไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลในที่สุด เพราะความไม่ชัดเจนเรื่องเก้าอี้ในครม. เป็นจุดเปราะบางของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นระหว่างพรรคร่วม หรือภายในพรรคแต่ละพรรคกันเองก็ตาม หากจะปรับครม. ก็ควรต้องตัดสินใจให้ชัดเจนถึงผลระยะยาว หรือหากยังไม่ปรับตอนนี้แน่นอนท่านนายกฯก็อาจต้องออกมาพูดให้ชัดเจนเพื่อสยบความระส่ำที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังใช้เจาะ เพราะหากสังเกตดูความเคลื่อนไหว หรือประเด็นความขัดแย้งภายในพลังประชารัฐ หรือภายในรัฐบาลถูกจุดประเด็นโดยสื่อบางสื่อที่อ้างแหล่งข่าวที่ไม่ตรงกัน ช่องโหว่และจุดเปราะบางนี้หากปล่อยไว้นานจะเป็นรอยร้าวที่ยากจะสมานในที่สุด และอาจนำมาซึ่งการเปิดประเด็นยั่วยุให้เกิดการยุบสภาที่ดูมีเหมือนมีคนเริ่มจุดกระแสแล้วในสภา
ศึกพรรคใหญ่อาจต้องติดตามกันยาวนานแต่ที่เปิดศึกกันแล้วคือศึกระหว่างกลุ่มหมอวรงค์ ที่แยกตัวจากพรรครวมพลังประชาชาติไทย กับกลุ่มก้าวหน้าที่มีเรื่องถกเถียงกันจนอาจนำไปถึงการเป็นคดีความระหว่าง หมอวรงค์ และนางสาวพรรณิการ์หรือไม่? เรื่องการรับบริจาค และการแจกเงินเยียวยาผู้ประสบภัยจากโควิด ผ่านเคมเปญเมย์เดย์ที่เป็นการระดมเงินทุนจากประชาชนเพื่อช่วยเหลือประชาชนผ่านบัญชีส่วนตัว เรื่องนี้กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหลังหมอวรงค์ได้มีการออกมาตั้งข้อสงสัยถึงรายชื่อ 15 รายชื่อว่ามีจริงหรือไม่? และได้รับเงินจริงหรือไม่? โดยเรียกร้องให้มีการเปิดเผยหลักฐานการโอนเงินของกลุ่มก้าวหน้าว่ามีการให้เงินจริง โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าหากไม่มีหรือแสดงไม่ได้ นี่คือการตุกติกทางการเมืองใช่หรือไม่?
ขณะเดียวกัน นางสาวพรรณิการ์ตัวแทนกลุ่มก้าวหน้าก็ได้ออกมาโต้ทันทีว่าการตั้งข้อสังเกตแบบนี้เป็นการใส่ร้าย กลั่นแกล้งทางการเมือง และจะให้ทนายความดำเนินคดีหมอวรงค์ต่อไป ซึ่งเรื่องนี้มีหลายคนพูดว่าอาจไม่น่าถึงขั้นนำไปสู่ขั้นคดีความ หากบริสุทธิ์ใจจริงก็ควรเปิดหลักฐานออกมาเรื่องนี้ก็ถือเป็นอันจบ และพร้อมกันนั้นก็เป็นการฉีกหน้าฝ่ายตรงข้ามไปด้วยใช่หรือไม่? ศึกระหว่างกลุ่มการเมืองกลับร้อนแรงขึ้นหลังจากหมอวรงค์ประกาศแยกตัวไม่ถึงสัปดาห์เพื่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่รูปแบบพรรคการเมือง ขณะที่คณะก้าวหน้าซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองนอกสภามาก่อนแล้ว
การประชุมสภานัดที่ผ่านมากำลังมีกระแสในสภาที่เริ่มพูดถึงการยุบสภา โดย สส. พรรคก้าวไกล ได้มีการพูดโจมตีถึงความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานของ
นายกฯ และปิดท้ายด้วยการเรียกร้องให้มีการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้แก่ประชาชน เรื่องนี้อาจจะดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร และเป็นวิถีของฝ่ายค้าน แต่ขณะที่พรรคก้าวไกลกำลังเร่งโปรโมทเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่น ตลอดจนสภายังอยู่ในช่วงพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณ และพรรคก้าวไกลเองก็ประกาศจะตรวจสอบและติดตามการใช้งบโควิด ซึ่งต้องกระทำผ่านระบบรัฐสภาจึงจะดีที่สุดและถือว่าฝ่ายค้านมีอำนาจเต็มในการตรวจสอบ จึงดูจะเป็นแนวคิดที่แปลกๆที่จะเสนอยุบสภาตอนนี้
การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งบ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องดีของการบริหารบ้านเมืองแน่ๆ โดยเฉพาะยุควิกฤติอย่างนี้โดยเฉพาะขณะที่เรายังหาวัคซีนโควิดมาไม่ได้ และปัญหาเศรษฐกิจกำลังคืบคลานเข้ามา การบริหารงบประมาณ ในช่วงเลือกตั้ง ตลอดจนการบริหารประเทศในช่วงเลือกตั้งนั้นจะทำให้รัฐบริหารงานได้ไม่เต็มที่ ทั้งฝ่ายข้าราชการที่จะเริ่มชะลอการปฏิบัติราชการลง ความมั่นใจต่อเสถียรภาพรัฐบาลและของต่างชาติที่จะส่งผลต่อการลงทุน และความชะงักงันของระบบงบประมาณระหว่างช่วงสุญญากาศทางการเมือง ที่จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ซึ่งก็มีหลายคนออกมาตั้งข้อสงสัยต่อข้อเรียกร้องดังกล่าวของ สส. ฝ่ายค้าน บางพรรคต่อเรื่องนี้ว่ากำลังปูทางไปสู่เรื่องอื่นหรือไม่ ? จะปูทางไปสู่การเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองนอกสภาหรือไม่? และการออกมาตั้งกลุ่มใหม่ของหมอวรงค์เพื่อเคลื่อนไหวการเมืองที่ไม่ใช่รูปแบบพรรคการเมืองนี้ กำลังจะส่งสัญญาณใดต่อทิศทางการเมืองนอกสภาหรือไม่ และหากมีอะไรเกิดขึ้นอีกประชาชนก็คงเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งและเกมของบรรดานักการเมืองทั้งหลายหรือไม่?
ผลจากวิกฤติโควิดที่แพร่กระจายไปทั่วโลกกำลังสร้างวิกฤติทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่กำลังส่งผลโดยตรงต่อประเทศไทย รายได้จากภาคการท่องเที่ยวและส่งออกที่ชะลอตัวกำลังทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยฝืดเคือง เงินไม่ถึงกระเป๋าประชาชน การปรับ ครม. อาจเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา ด้วยการเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน แต่สิ่งที่ผู้นำรัฐบาลทั้งหลายต้องให้ความสนใจ คือเรื่องการกำกับดูแลคือเรื่องปากท้องของประชาชน อย่าปล่อยให้เกมการเมืองทำให้ความตั้งใจในการดูแลประชาชนเลือนหายเศรษฐกิจคือรากฐานของรัฐบาลไม่ว่าจะในประเทศใด สมัยใดก็ตาม หากประชาชนอิ่มท้อง เสถียรภาพของรัฐบาลย่อมมั่นคงเช่นกัน ไม่ใช่มัวแต่มาจัดสรรเก้าอี้จึงคิดจะแก้ปัญหา.......
“โบราณท่านว่าไว้แต่ก่อนว่า สิบคนจะหาผู้กล้าได้คนหนึ่ง ร้อยคนจะหาผู้มีสติปัญญาได้คนหนึ่ง”
สุมาเต๊กโช สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลังหน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี