สังคมไทยเวียนวนอยู่กับอำนาจของทหาร (รวมถึงอำนาจของข้าราชการประจำ) มาเป็นระยะเวลาหลายทศวรรษหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 และจวบจนวันนี้อำนาจของทหาร โดยเฉพาะทหารบกในสังคมไทยก็ทวีความเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ อันที่จริง ถ้าหากความเป็นรัฐทหารสามารถทำความเจริญก้าวหน้าให้กับสังคมและประเทศชาติได้ อย่างแท้จริง ก็คงไม่มีใครรังเกียจมากนัก แต่คำถามอยู่ตรงที่ว่า แล้วเคยมีรัฐทหารในที่ใดบนโลกใบนี้ที่สามารถทำให้ประเทศนั้นๆ เจริญก้าวหน้า และมีความเป็นอิสระเสรีได้โดยแท้จริง
ในสังคมไทย มีคำถามจากกลุ่มคนที่มีความศรัทธาและยึดมั่นในหลักการเสรีนิยมโดยเคร่งครัดว่า ประเทศไทยในยุคนี้อยู่ภายใต้การปกครองระบอบเสรีประชาธิปไตยจริงหรือ เรามีการเลือกตั้งก็จริง แต่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตยหรือไม่ คำถามนี้ไม่ได้เกิดมาจากความเกลียดชังทหาร แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า เมื่อทหารมีอำนาจปกครองประเทศ แล้วทำให้ประเทศมีความผาสุกจริงหรือ หรือเป็นแค่เพียงความสงบที่ภายใต้สิ่งที่ดูเหมือนสงบนั้นกลับเต็มไปด้วยความร้อนระอุที่รอวันปะทุแล้วระเบิดออกมา
การปกครองของเมืองไทยในวันนี้ยังยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรมอย่างเคร่งครัดจริงหรือ และคำถามต่อไปก็คือ คนไทยจะมีโอกาสดำรงชีวิตภายใต้หลักการทั้งสองหรือไม่ แต่ก็ต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงที่ว่า ในประเทศไทยนั้น แม้จะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วรัฐบาลที่อ้างว่าตนเองได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนโดยผ่านการเลือกตั้ง ก็กลับมีพฤติกรรมไม่ต่างไปจากทรราช และไม่ต่างไปจากการปกครองในรูปแบบรัฐทหาร ซึ่งก็คือรัฐนิยมลัทธิทหาร
นักวิชาการจากตะวันตก ชื่อ Haroal Laswell เขียนเรื่อง Garrison State ไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2484 ว่า รัฐทหารจะมีบทบาทมากในโลกอนาคต ทหารที่ทำหน้าที่ผู้ปกครองจะใช้การปกครองโดยผ่านความรุนแรง และจงใจสร้างความหวาดกลัวภัยทั้งภายนอกและภายในประเทศให้เกิดกับผู้ใต้ปกครองดังนั้นประชาชนจึงเกิดอาการระมัดระวังอย่างมาก ไม่กล้าแสดงอาการขัดขืนใดๆ และไม่กล้าละเมิดสิ่งที่ทหารกำหนดขึ้น แต่ที่สุดประหลาดคือผู้ปกครองในรัฐทหารจะป่าวประกาศเชิงโฆษณาชวนเชื่อตลอดเวลาว่ารัฐที่ตนเองปกครองนั้นเคร่งครัดและยึดมั่นในหลักการเสรีประชาธิปไตย แต่ในความจริงแล้วกลับมีการแบ่งปันและกระจายอำนาจรัฐให้กับพวกพ้องของตนเองเพื่อให้ช่วยกันควบคุมรัฐให้อยู่ในกำมืออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แล้วก็ยังคงใช้การโฆษณาชวนเชื่อว่า ทุกสิ่งอย่างที่ผู้นำรัฐทหารทำนั้น ทำเพื่อประชาชน และทำตามเสียงเรียกร้องของประชาชน ซึ่งต้องบอกว่านี่คือการโกหกประชาชน โดยไม่แยแสต่อความเป็นจริงแม้แต่น้อย
ข้ออ้างสำคัญที่ทหารทั่วโลกใช้เพื่อยึดอำนาจรัฐก็คือ นักการเมืองโกงกิน นักการเมืองสร้างความแตกแยกให้กับประเทศ (ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องจริงก็ตามในบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย) แล้วสุดท้ายทหารก็อ้างว่าต้องยึดอำนาจเพื่อความมั่นคงปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ และมั่นคงของราชบัลลังก์
เป็นเรื่องตลกที่เราพบเห็นเป็นประจำคือเมื่อทหารยึดอำนาจแล้วก็จะตั้งชื่อคณะผู้ยึดอำนาจด้วยถ้อยคำที่สวยงามเกินจริง เช่น คณะฟื้นฟูประชาธิปไตยแห่งชาติ คณะปฏิรูปประเทศ แล้วที่สำคัญก็จะพบว่าหลังจากนั้นทหารก็จะส่งคนของตนเองเข้าไปอยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในคณะรัฐมนตรี และสมาชิกวุฒิสภา แล้วสิ่งที่ดำเนินซ้ำๆ กันก็คือ เมื่อทหารคุมอำนาจรัฐได้แล้ว ก็นำไปสู่การอนุมัติงบประมาณเพื่อกิจการของทหารอย่างมโหฬาร
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่รัฐทหารใช้กำราบประชาชนก็คือการอ้างกฎหมายเพื่อละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน แล้วจงใจทำให้ประชาชนกลุ่มที่นิยมทหารมองว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะประชาชนคือผู้กระทำผิดกฎหมาย แต่สิ่งที่ทหารไม่ยอมรับก็คือการใช้กฎหมายเป็นข้ออ้างนั้นเกิดมาจากความยุติธรรมที่บิดเบี้ยว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้คือแบบฉบับของรัฐทหาร รัฐเผด็จการ แล้วสุดท้ายก็คือรัฐล้มเหลว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี